Custom Search

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ปลุกกระแสกินผัก-สมุนไพรต้านหวัด 2010/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ



ปลุกกระแสกินผัก-สมุนไพรต้านหวัด 2010

วิถีการบริโภคของคนไทยในอดีตจะเน้นการกินผักพื้นบ้าน และปรุงอาหารรับประทานกันเองในครอบครัวทำให้คนไทยสมัยก่อนไม่ค่อยมีโรคประจำตัวโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้แทบจะไม่มีใครรู้จัก จนกระทั่งกระแสการกินแบบตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลทำให้วิถีการกินของคนสมัยนี้เปลี่ยนไป จากที่เคยทำอาหารทานกันที่บ้านก็หันไปพึ่งอาหารประเภทฟาสฟูดส์ ซึ่งอุดมไปด้วยแป้ง และไขมัน และที่สำคัญหากินง่าย ทำให้เด็กรุ่นใหม่รวมถึงผู้ใหญ่บางคนไม่กินผัก ละเลยการออกกำลังกายจนเกิดภาวะโรคอ้วน และสิ่งที่ตามมาก็คือโรคร้ายหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นความดัน เบาหวาน ไตวาย และโรคมะเร็ง เป็นต้น จากการคุกคามของกระแสนิยมตะวันตก ทำให้ช่วงหนึ่งคนไทยหลงลืมภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมของปู่ย่า ตา ยาย ที่สอนให้ลูกหลานกินผัก สมุนไพร เพื่อรักษาและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ เช่น การกินหัวหอม แก้หวัด กินกระเทียมแก้ไอ รวมถึงการกิน ขมิ้นไพล แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นต้น นอกจากจะหาได้โดยทั่วไปในบ้านเราแล้วยังไม่ต้องเสี่ยงกับอาการข้างเคียงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเหมือนกับยาแผนปัจจุบันซึ่งมีราคาแพงเพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก นพ.ประพจน์ เภตรากาศ รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การพัฒนาภูมิปัญญาไทย สุขภาพวิถีไท มีเป้าหมายการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพของประเทศ และเกิดการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพ โดยการจัดการความรู้ภูมิปัญญาไทย สุขภาพวิถีไทในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชุมชนท้องถิ่น จนถึงระดับประเทศ เกิดการพัฒนายาไทยและสมุนไพรตั้งแต่การผลิตระดับชุมชน สถานบริการสาธารณสุข และโรงงานผลิตยาไทยที่มีคุณภาพ มาตรฐาน มีการเพิ่มมูลค่าและปริมาณการใช้ยาไทยและยาสมุนไพรอย่างน้อย 25% ทั้งส่งเสริมให้มีระบบและกลไกที่เข้มแข็งในการคุ้มครองภูมิปัญญาไทยด้านการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทยและสมุนไพร ภายใน 5 ปี ซึ่งดำเนินการภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน ได้แก่



1. การสร้างและจัดการความรู้ ด้านการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก เพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง และเกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการใช้ประโยชน์ระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย ผู้บริหาร บุคลากรด้านสาธารณสุข นักวิชาชีพ หมอพื้นบ้าน หมอแผนไทยและประชาชนผู้รับบริการ

2. การพัฒนาระบบสุขภาพ การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก เพื่อให้ระบบสุขภาพการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกในส่วนที่เป็นระบบสุขภาพภาคประชาชน มีความเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของชุมชนท้องถิ่น และประชาชนในการดูแลสุขภาพ สามารถเชื่อมโยง ประสาน ผสมผสานกับระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ และเพื่อให้การบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในส่วนที่เป็นระบบบริการภาครัฐและภาคเอกชน

3. การพัฒนากำลังคน ด้านการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก เพื่อให้รู้สถานการณ์กำลังคนด้านการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งรู้ศักยภาพ ความรู้ ความสามารถของกำลังคนในด้านนี้ เพื่อที่จะได้มีทิศทางในการผลิตและพัฒนากำลังคนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถและมีปริมาณอย่างเพียงพอกับความต้องการ

4. การพัฒนายาไทยและยาสมุนไพร เพื่อให้ยาไทยและยาสมุนไพรมีมาตรฐาน ตั้งแต่การผลิตระดับชุมชน ระดับสถานบริการสาธารณสุข และระดับโรงงานผลิตยา มีการศึกษาและวิจัย เป็นที่ยอมรับและบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติเพิ่มมากขึ้น

5. การคุ้มครองภูมิปัญญาไทย ด้านการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและมวลมนุษยชาติ ไม่ตกเป็นผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม หรือเกิดความไม่เป็นธรรมในการใช้ประโยชน์ การคุ้มครองภูมิปัญญาไทยต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมและต้องพัฒนากลไกทางด้านกฎหมาย รวมทั้งความร่วมมือในระดับภูมิภาค นพ.ประพจน์ กล่าวว่า การดำเนินงานและกำหนดทิศทางสมุนไพรไทย จะต้องมีการพัฒนาด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนไทย และจะต้องมีการทำงานวิจัยที่ชัดเจน และมีความเป็นอิสระในการทำงานวิจัยอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันการผลักดันให้สมุนไพรไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้นั้น ต้องเริ่มจากให้ประชาชนเห็นความสำคัญของสมุนไพรไทย และนำเข้ามาใช้ในวิถีชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง ซึ่งหากทำได้ดังที่กล่าวมานั้น ต่างชาติจะให้การยอมรับเหมือนกับอาหารไทย อย่างไรก็ตามปัญหาของการแพทย์แผนไทยคือ การขาดแคลนบุคลากรทางด้านการแพทย์แผนไทย รวมทั้งองค์ความรู้ต่างๆ ที่ขาดหายไป ซึ่งการแก้ไขปัญหาคือ การสนับสนุนให้มีการวิจัยมากขึ้น ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการใช้สมุนไพรและแพทย์แผนไทยมากขึ้น รวมทั้งภาครัฐต้องให้การสนับสนุน ทุกภาคส่วนในสังคมไทยมีหน้าที่ที่จะต้องร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน และเร่งรัดการพัฒนาการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกให้เกิดผลอย่างจริงจัง เพื่อเป็นทางเลือกด้านสุขภาพของประชาชน รวมไปถึงการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งระดับชุมชน และระดับชาติ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมไทย และเพื่อเป็นการสร้างกระแสให้คนไทยหันมาบริโภคผักสมุนไพรมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุข โดย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก จึงได้ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิปัญญาไทย สุขภาพวิถีไท จัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 6 ขึ้น ระหว่างวันที่ 2 - 6 ก.ย. 52 ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เน้นพึ่งพาตนเองด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ ให้ความสำคัญกับพืชผักสมุนไพร สร้างเศรษฐกิจไทย ต้านภัยไข้หวัด ภายในงานจะมีการนำองค์ความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่ในวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาคของไทย จัดแสดงให้ประชาชนได้ย้อนรำลึกและตระหนักถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิมในแต่ละท้องถิ่น ที่ได้สั่งสม ถ่ายทอด และพัฒนาสืบต่อกันมาในท้องถิ่นผ่านสมุนไพรและผักพื้นบ้าน ที่หล่อหลอมอยู่ในวิถีชีวิตปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการอบรมฟรีกว่า 40 หลักสูตร การประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทยฯ แห่งชาติ ครั้งที่ 6 การประชุมความร่วมมือของกลุ่มประเทศอาเซียน +สี่ การบริการนวดไทย การแพทย์พื้นบ้านนานาชาติ เช่น การแพทย์พื้นบ้านลุ่มน้ำโขง การแพทย์จีน การแพทย์ญี่ปุ่น และการตรวจและรักษาสุขภาพด้วยการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือกฟรี




ภัยจากผ้าอนามัย/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ






ภัยจากผ้าอนามัย

ผ้าอนามัยนั้นเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับผู้หญิงเชียวนะคะ

" คุณหมอคะ ทำไมเมื่อดิฉันเป็นประจำเดือนทีไร ใส่ผ้าอนามัย จะต้องมีผื่นขึ้นที่ขาหนีบ และคันอยู่เรื่อยคะ ใช่ดิฉันแพ้ผ้าอนามัยหรือเปล่า "

คำถามนี้เป็นคำถามที่มีคนไข้ปรึกษาบ่อยๆ ค่ะ หมอมักจะตอบว่า

" อาการที่คุณเป็นนั้น คงมีสาเหตุเกี่ยวกับผ้าอนามัยแหละค่ะ แต่จะเป็นเพราะ แพ้ผ้าอนามัยหรือเพราะเป็นประจำเดือน ทางที่ดีก็ต้องตรวจภายในดูแหละค่ะ " คนไข้ส่วนหนึ่งอาจจะบอกว่า " แหมกำลังเป็นประจำเดือนอยู่ค่ะ คุณหมอช่วยจัดยา ให้ไปกินไปทาก่อนได้ไหมคะ เอาไว้หายจากเป็นประจำเดือนแล้วค่อยมาตรวจ "

" ให้ดีก็ตรวจภายในแหละค่ะ " หมอมักจะตอบซ้ำเช่นนั้น เพราะคนไข้มีผื่น ที่ขาหนีบเมื่อใส่ผ้าอนามัยตอนเป็นประจำเดือน ที่เจอบ่อยที่สุดไม่ใช่เป็นอาการแพ้ ผ้าอนามัยตามที่สงสัยนะคะ แต่เป็นเรื่องของการอักเสบจากการติดเชื้อราที่อวัยวะเพศและขาหนีบ เชื้อรานี้มักจะกำเริบก่อนเป็นประจำเดือน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความอับชื้น ฯลฯ ถัดลงมาจึงเป็นการแพ้ผ้าอนามัย และการติดเชื้อประเภทอื่นๆ

หมอเองพบว่า ถ้าไม่ได้ตรวจภายใน เฉพาะคำบอกเล่าของคนไข้เองนั้น ไม่สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำ เพราะการบอกเล่านั้น แล้วแต่อุปนิสัยของคนไข้นะคะ บางคนบอกน่ากลัว เช่น เป็นแผลขนาดใหญ่ เจ็บแสบมาก เมื่อตรวจภายในไม่พบแผลเลยก็มี บางคนบอกว่าเจ็บแสบนิดหน่อย เมื่อตรวจพบว่า มีแผลที่แคมขนาดใหญ่จนถึงกับเนื้อแคม แหว่งไปเลยก็มี ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติในบริเวณอวัยวะเพศ การตรวจภายใน จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เมื่อวินิจฉัยถูกต้อง การรักษาก็จะได้ผล

" แล้วถ้าแพ้อนามัยจะมีอาการต่างจากการติดเชื้ออื่นๆ อย่างไรค่ะ "

คนไข้บางคนสงสัย " ค่ะ อาการแพ้ผ้าอนามัย ก็เหมือนอาการแพ้ที่เกิดกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย คนเราแพ้ผ้าอนามัย หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของผ้าอนามัย เช่น น้ำหอมได้ อาการแพ้มักเกิดเมื่อใส่ผ้าอนามัยไปได้ไม่นาน คือมีอาการคัน มีผื่นขึ้น ลักษณะของผื่นแดง บางทีเป็นตุ่มน้ำใสๆ สังเกตว่า อาการคันและตุ่มน้ำนี้ ไม่ได้อยู่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเท่านั้น ยังลามไปบริเวณรอบๆ ทวารหนัก คือบริเวณที่ผ้าอนามัยสัมผัสผิวของผู้สวมใส่ได้อีกด้วย เพราะถ้าแพ้อนามัย ผิวส่วนอื่นๆ ก็มักจะแพ้ด้วย ไม่ใช่เฉพาะผิวบริเวณอวัยวะเพศนะคะ " " รักษาอย่างไรคะ " " เมื่อมีผื่นแพ้ ก็ต้องเลิกใช้ของที่แพ้ และอาจใช้ยาแก้แพ้ ชนิดทาและหรือชนิดกินช่วย"

" คุณหมอคะ โรคอื่นๆ ที่กำเริบในช่วงเป็นประจำเดือนนั้น มีโรคอะไรบ้างคะ "

" ค่ะ ก็มีหลายโรค โรคที่พบบ่อยก็คือโรคเชื้อรา เชื้อรานี้โดยปกติร้อยละ 15 ของสตรี มีเชื้อนี้อยู่ โดยไม่มีอาการ เชื้อราเหล่านี้มักมีสาเหตุนำที่ทำให้เกิดอาการขึ้น เช่น ความอับชื้น ความเป็นกรดด่างที่เปลี่ยนไป ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ตั้งครรภ์ รับประทานยาคุมกำเนิด รับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ เป็นโรคพร่องภูมิต้านทาน รับประทานยาบางชนิด เป็นต้น ลักษณะของการอักเสบจากเชื้อรานี้ มักจะเป็นบริเวณรอบๆ ช่องคลอดและขาหนีบ ช่องคลอดจะบวมแดง คัน และเป็นรอยแตก ทำให้มีอาการปัสสาวะแสบร่วมด้วย ส่วนโรคอื่นที่ทำให้เกิดผื่นที่อวัยวะเพศ และพบบ่อยในช่วงเป็นประจำเดือน ได้แก่ โรคเริม ส่วนโรคติดเชื้อชนิดอื่นๆ ก็พบได้ แต่ไม่บ่อยค่ะ "

" อยากให้หมอเล่าเรื่องโรคเริม เขาว่าเป็นแล้วรักษาไม่หายจริงหรือเปล่าคะ " " คะ โรคเริมนั้น เป็นการติดเชื้อไวรัส ชนิดเฮอร์ปี่ซิมเพล็กส์ชนิด 1 หรือชนิด 2 (HSV1, HSV2) โรคเริมที่อวัยวะเพศส่วนใหญ่เป็นการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สมัยก่อนเชื่อว่าชนิดที่ 1 นั้น เกิดที่ริมฝีปาก ชนิดที่ 2 เกิดที่อวัยวะเพศ ปัจจุบันเชื่อว่า ทั้งสองชนิดเกิดได้ที่อวัยวะเพศเหมือนๆ กันโดยชนิดที่ 1 บางทีติดมาจากริมฝีปาก ในกรณีมีการร่วมเพศโดยใช้ปากช่วย โรคเริมนี้มีระยะฟักเชื้อประมาณหนึ่งสัปดาห์ นั่นหมายถึงเมื่อร่วมเพศกับคนที่เป็นเริม อีกหนึ่งสัปดาห์ จึงจะมีอาการอักเสบจากโรคเริม โรคเริมเมื่อเป็นครั้งแรก จะมีอาการมาก อวัยวะเพศจะขึ้นตุ่มใสๆ เป็นกลุ่ม ต่อมาไม่กี่วัน ตุ่มพวกนี้จะแตกเป็นแผลมีหนอง และเจ็บปวดมาก มีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กดเจ็บ ต่อมาแผลจะเริ่มตกสะเก็ดและหาย ใช้เวลานานถึง 2-3 สัปดาห์ เมื่อติดเชื้อเริมแล้ว เชื้อเริมจะไปอยู่ที่ปมประสาทในไขสันหลัง และแพร่เชื้ออกมาเป็นระยะๆ นั่นคือโรคเริม เมื่อเป็นแล้วไม่หายขาด เมื่อภูมิต้านทานของคนไข้ต่ำลง เช่น กำลังเป็นประจำเดือน ไม่ได้พักผ่อน วิตกกังวล เป็นต้น ก็จะเป็นโรคเริมกลับซ้ำมาอีก โรคเริมกลับซ้ำนี้ มักมีอาการไม่มาก บางทีมีตุ่มใสๆ สองสามตุ่มคันๆ แตกแล้วก็หายไป สรุปตุ่มที่อวัยวะเพศ ในช่วงเป็นประจำเดือนบางทีอาจเป็นการติดเชื้อจากโรคเริมได้ค่ะ "

" แล้วผื่นผ้าอ้อมในเด็กจะเหมือนผื่นที่ผู้ใหญ่ใส่ผ้าอนามัยไหมคะคุณหมอ ลูกดิฉันเวลาใส่ผ้าอ้อมแบบสำเร็จรูปก่อนนอน พอตอนเช้าก้นเป็นผื่นแดงไปหมดเลยค่ะ "

" ในเด็กไม่เหมือนในผู้ใหญ่นะคะ ผื่นผ้าอ้อมในเด็กนั้นสาเหตุที่พบมากได้ที่สุด คือผื่นแพ้ แพ้ความเปียกชื้น ปัสสาวะ อุจจาระ ลักษณะจะเป็นผื่นสีแดงเป็นปื้นใหญ่ รอบๆ อวัยวะเพศ ก้นและต้นขาค่ะ วิธีรักษาก็ง่าย เมื่อเลิกใช้ผ้าอ้อม ระวังความเปียกชื้นให้ดี ผื่นก็จะหายไปค่ะ "

" คุณหมอคะ หนูนะชอบใส่ผ้าอนามัยผืนเล็กๆ เพราะมีกลิ่นหอมและดูสะอาดดี เวลามีตกขาวก็ไม่เปรอะเปื้อนกางเกง แต่หนูสังเกตว่า เมื่อหนูใส่ผ้าอนามัย หนูจะมีตกขาวทุกวัน เป็นเพราะเหตุใดคะ "

" ค่ะ การใส่ผ้าอนามัยตลอดเวลา อาจจะทำให้รู้สึกสะอาด แต่เป็นสุขลักษณะที่ไม่ดีนะคะ เพราะจะทำให้ช่องคลอดมีการอับชื้นตลอดเวลา มีโอกาสติดเชื้อต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นจึงควรใส่ผ้าอนามัยในเวลาที่จำเป็นเท่านั้นนะคะ แม้แต่กางเกงชั้นในที่คับๆ ก็ควรจะหลีกเลี่ยง เปลี่ยนมาใช้กางเกงผ้าฝ้ายที่สวมใส่สบายจะดีกว่า เพราะถ่ายเทอากาศได้ดีกว่าค่ะ "

" คุณหมอคะ หนูเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ นิยมใช้ผ้าอนามัยแบบสอด จะมีโทษอะไรหรือเปล่าคะ เช่น จะทำให้ช่องคลอดหย่อนยานได้หรือเปล่า "

" ผ้าอนามัยแบบสอดนั้น มีมานานแล้วค่ะ ตั้งแต่สมัยยี่สิบปีก่อน แต่ไม่เป็นที่นิยมจริงๆ แล้วหลักการน่าจะดีนะคะ คือสอดม้วนสำลีเล็กๆ เข้าไปในช่องคลอดเพื่อให้ซับประจำเดือน ก่อนประจำเดือนจะมาเปรอะเปื้อนด้านนอก แต่มีปัญหาหลายอย่างที่ทำให้ไม่นิยมนะคะ

ข้อ 1. วัฒนธรรมไทย ไม่นิยมสอดอะไรเข้าไปในช่องคลอด พบว่ายารักษาโรคบางอย่าง ที่เป็นชนิดสอดเข้าช่องคลอดก็เช่นกัน คนไข้มักจะขอเปลี่ยนเป็นยาชนิดรับประทานแทน

ข้อ 2. เมื่อสอดเข้าไป ถ้าลืมไว้จะเกิดอันตรายได้ เนื่องจากประจำเดือนนั้นก็คือเลือด ซึ่งเป็นอาหารที่ดีของเชื้อโรค ทำให้ผ้าอนามัยแบบสอดนั้น กลายเป็นก้อนเชื้อโรค เกิดการติดเชื้อภายในได้ ที่ร้ายแรงก็คือ ถ้าอวัยวะเพศมีแผลอยู่ การติดเชื้อนั้น อาจลุกลามเข้ากระแสเลือดได้

ข้อ 3. ถ้าผู้สอดไม่คุ้นเคยกับอวัยวะภายในช่องคลอด จะเกิดความวิตกมาก มีคนไข้รายหนึ่งมาหาหมอด้วยว่า เมื่อสอดผ้าอนามัยเข้าไป เกิดไปคลำเจอ ก้อนอะไรไม่ทราบแข็งๆ อยู่ในช่องคลอด เกิดความวิตกกลัวเป็นก้อนมะเร็ง จึงมาหาหมอ เมื่อตรวจแล้วพบว่าจริงๆ ก้อนนั้นเป็นปากมดลูกธรรมดาค่ะ

ถ้าไม่มีข้อ 1-3 การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดก็นับว่าสะดวกปลอดภัยและไม่ได้ทำให้ ช่องคลอดหย่อนยานประการใดนะคะ "

" คุณหมอคะ แม่ของหนูไม่ยอมให้หนูใช้ผ้าอนามัยตอนอยู่ที่บ้านในวันหยุด ท่านบอกว่าทำให้ ประจำเดือนไม่ค่อยไหล จริงหรือเปล่าคะ "

" ปัญหานี้ คนในเมืองกรุงคงไม่ค่อยเจอแล้วนะคะ ในต่างจังหวัดบางแห่งนั้น เมื่อมีประจำเดือนยังพบการใช้วิธี "ขี่ม้า" ประปราย ตอนหมอมาอยู่บ้านนอกใหม่ๆ ก็งงว่าขี่ม้านั้นหมายถึงอะไร มาทราบว่าคือการใช้ผ้าถุงสะอาดหลายผืน พันม้วนเป็นผืน ยาว และสอดรองระหว่างขาเมื่อเป็นประจำเดือน จริงๆ แล้วดูโบราณ แต่ถ้าผ้าเหล่านี้สะอาด ก็เป็นผ้าอนามัยชั้นดี ไม่ต้องเสียเงินตราออกนอกประเทศ แต่จะต้องเสียเวลาซัก เท่านั้นเองค่ะ การใส่ผ้าอนามัยแน่นเกินไปก็เป็นการปิดกั้นไม่ให้ประจำเดือนไหลออกมาจริงนะคะ ดังนั้นควรขยับผ้าอนามัยบ้าง เมื่อใส่ไปนานๆ ค่ะ "

ที่มา หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ








ผิวหน้าสวยใสด้วย 12 วิธีง่ายๆ/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ



ผิวหน้าสวยใสด้วย 12 วิธีง่ายๆ

การทำความสะอาดผิวหน้า แม้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรยุ่งยาก แต่หากใช้วิธีไม่ถูกต้องแทนที่จะทำให้ผิวหน้าดูดี กลับจะเป็นการซ้ำเติมให้ผิวหน้ามีปัญหามากขึ้น

ฉะนั้น จึงอย่ามองข้ามความสำคัญของวิธีการทำความสะอาดผิวหน้า ซึ่งวันนี้เรามีเคล็ด (ไม่) ลับมาฝากกันเหมือนเคย

เลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับสภาพผิว

คุณจะต้องรู้ว่าสภาพผิวหน้าของตัวเองเป็นเช่นไร แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับสภาพผิว ไม่เช่นนั้นผิวหน้าคุณจะสูญเสียค่าสมดุลของความเป็นกรดด่าง พอกหน้าเป็นประจำ พอกหน้าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งการพอกหน้าทำเพื่อหลายจุดประสงค์ ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีผิวประเภทใด วิธีการง่ายๆ คือ ทางครีมหรือโคลนพอกหน้าให้หนาพอสมควร เว้นรอบดวงตาระหว่างนั้นอาจนั่งหรือนอนฟังเพลงสบายๆ สัก 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด

บำรุงลึกถึงขั้นผิว

เลือกมอยซ์เจอไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว และใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของสารกันแดดเป็นประจำ เพราะแสงแดดสามารถทำร้ายผิวคุณได้แม้ในที่ร่ม ส่วนในเวลากลางคืนก็ไม่ควรละเลยการบำรุง เนื่องจากในขณะที่ผิวพักผ่อน ผิวสามารถซึมซับ เอาคุณประโยชน์ของครีมบำรุงได้อย่างเต็มที่

12 วิธีสู่การมีหน้าใส

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งอายุ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ หรือ 20 กว่าๆ 35 แก่ๆ ก็ไม่มีใครแก่เกินสวยหรอก หลายคนกังวลล่วงหน้าไป 5-6 ปี ไอ้ที่หน้าจะไม่แก่ ก็แก่ลงถนัดตา เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง อีกหลายๆ คน ก็เตรียมเก็บเงินไว้เลย เพื่อเตรียมทำศัลยกรรม ดึงหน้า ดึงเหนียง ลบรอยตีนกา ฝ้า ไฝ เมื่อถึงวัยตกกระ คุณสาวๆ ...เหตุการณ์ทั้งหลายดังกล่าว จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นกับคุณ เพราะคุณจะดูแลรักษาผิวหน้าให้สวยสดใสด้วยวิธีง่ายๆ แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ ดังต่อไปนี้

- อย่าถ่างตานอนดึกให้มันมากนัก อย่ามัวแต่คิดว่าคุณน่ะยังไหว...ใจไหวแต่สังขารอาจไม่ไหวก็ได้

- ดื่มน้ำมากๆ ไอ้ที่เขาว่าให้ดื่มวันละ 6-8 แก้วน่ะ ถ้าคุณดื่มได้มากกว่านั้นได้ ก็จะเป็นการดี และยิ่งถ้าเป็นน้ำเปล่าด้วยล่ะก็จะยิ่งดีใหญ่ หากคุณชอบดื่มน้ำอัดลมก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว เพราะถ้าดื่มมากไปจะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และกัดกระเพาะคุณจนปวดท้องได้

- ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ บริหารตัวแล้วอย่าลืมบริหารหน้า นวดหน้าด้วยนะ ตัวเต่งตึงแต่หน้าเหี่ยวละก้อ หมดกัน!

- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ เพราะมันจะทำให้คุณแก่เกินอายุ ใครจะเถียงคอเป็นเอ็นละก้อ !!! ท้าให้คุณที่สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัดๆ ลองเดินคู่กับเพื่อนที่ไม่ดื่ม ไม่สูบ แล้วถามคนอื่นๆ ดูว่า คุณกับเพื่อนใครแก่กว่าใคร (ข้อสำคัญ เขาต้องไม่รู้จักเพื่อนคุณมาก่อนนะ เพื่อป้องกันการลำเอียง) พึงระลึกไว้เสมอว่าอย่าเข้าข้างตนเองแต่ให้คนอื่นที่เขาหวังดีต่อคุณ มองคุณจะดีกว่า

- อย่าตากแดดเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัดเป็นเวลานานๆมิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ไม่รู้ตัวเชียว - ใช้โลชันอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์ ที่เปิดเบอร์เดียว หนาวจัดตลอดปี ตลอดชาติ หากแอร์ของคุณปรับได้ กรุณาปรับเถอะ เพราะบางบริษัทเปิดแอร์เย็นแบบทุกข์ทรมาน พนักงานนั่งสั่น ใส่เสื้อกันหนาวกันโดยทั่วหน้า ก็ในเมื่อมันทุกข์ขนาดนั้น จะต้องเปิดให้มันทรมานทำไม

- ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ แล้วยิ่งหาก คุณเป็นสิวด้วยแล้วล่ะก็ ให้คุณใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โฟมที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด คนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็









วิธีดื่มน้ำรักษาโรค จากหนังสือพิมพ์จีน/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ

วิธีดื่มน้ำรักษาโรค จากหนังสือพิมพ์จีน

วารสารทางการแพทย์ บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ

น้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้

นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดี ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย

ในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ให¬ญ่ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ให¬ญ่ซึ่งทำหน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่¬่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว

1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปี กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกิน วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆ มาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น

2 เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ

3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็นของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย

4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต

ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7 - 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้ จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้และป่วยต่างๆ

ข้อควรทราบ หลังจากอาตมาได้ทราบตามข้อนี้ และได้ปฏิบัติตาม รู้สึกว่าโรคต่างๆ ที่คนชราโดยมากเป็นอยู่บัดนี้รู้สึกว่าเริ่มสบายขึ้นเป็นลำดับเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมจึงขอยืนยันมาให้ทราบ เป็นการกุศลต่อไป ท่านที่รับหลักการนี้ไปปฏิบัติแล้ว ถ้ามีประโยชน์ดีควรเผยแพร่ต่อไปเพื่อเป็นการกุศล.

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

ผิวหน้าสวยใสด้วย Elos Technology


ผิวหน้าสวยใสด้วย Elos Technology

สาวๆ หลายๆ คนต่างต้องการคงความตึง กระชับ และสดใสของผิวหน้าให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ใช่ไหมค่ะ แต่เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาริ้วรอย และการหย่อนคล้อยของผิว ก็จะเกิดขึ้น และสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับวัยที่มากขึ้น ในปัจจุบันการแก้ปัญหาริ้วรอยมีหลากหลายวิธี ทั้งการกิน การทา การใช้สารสกัดจากธรรมชาติสารพัดจนเต็มท้องตลาดไปหมด แต่โดยมากมักจะเห็นผลได้ช้าและต้องทำต่อเนื่องหลายๆ ครั้งจึงจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลง วันนี้ Ladytip จะขอแนะนำอีกหนึ่งเทคโนโลยีชื่อว่า Elos ในการแก้ไขปัญหาริ้วรอย และการหย่อนคล้อยของผิวค่ะ

ในปัจจุบันนี้ มีการนำเอาเลเซอร์ (Diode Laser) และคลื่นวิทยุ (Radio Frequancy) มาใช้ในการช่วยแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่เห็นผลเป็นที่น่าพอใจเท่าใด ต่อมาจึงได้มีการรวมเอาเทคโนโลยีทั้ง 2 เข้าด้วยกัน เรียกว่า Elos ซึ่งให้ผลการรักษาที่ชัดเจนกว่าในการรักษาริ้วรอยแห่งวัย ช่วยให้ผิวเรียบตึงมากขึ้น ปลอดภัยกับทุกสภาพผิวมากขึ้น และสามารถรักษาซ้ำได้ตามต้องการ

Elos คืออะไร?

Elos Technology คือการนำพลังงาน 2 ชนิด ได้แก่ พลังงานแสงเลเซอร์ (Diode Laser) 900nm. และคลื่นวิทยุที่เหนี่ยวนำประจุไฟฟ้า (Conducted Radio Frequency - RF) ทำให้เกิดพลังงาน ไปกระตุ้นในชั้นหนังแท้ ซึ่งอยู่ลึกลงไปในชั้นผิวหน้า เป็นจุดกำเนิดของคอลลาเจน (Collagen) และอิลาสติน (Elastin) โดยการทำ Elos จะเป็นการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินใหม่ โดยไม่ทำให้เกิดแผล หรือรอยไหม้เหมือนวิธีการเดิมๆ จึงปลอดภัยกว่าและเห็นผลดีกว่า การใช้แสงเลเซอร์ หรือคลื่นวิทยุเพียงอย่างเดียว

นอกจากการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอิลาสติน (Elastin) ให้เกิดใหม่แล้ว ยังสามารถนำเทคโนโลยี Elos ไปใช้ในการกำจัดขนถาวรได้อีกด้วย โดยสามารถกำจัดขนได้ทุกสภาพผิว ไม่ว่าผิวขาว หรือผิวเข้ม (Type VI) สภาพขนทั้งอ่อน หรือขนยาว

Elos Technology เหมาะกับใครบ้าง?

ด้วยเทคโนโลยี Elos นี้ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวมีริ้วรอย ร่องแก้มลึก ผิวหย่อนคล้อย แผลเป็น หลุมที่เกิดจากสิว รอยดำ กระ ฝ้า และผู้ที่มีปัญหาเส้นขนค่ะ

ผลที่ได้จากการใช้ Elos

รูขุมขนจะกระชับ ผิวกระจ่างใส ริ้วรอยเหี่ยวย่นต่างๆ จะลดลง แผลเป็นที่เป็นหลุม จะตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ระยะเวลาในการรักษา

ในแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยในช่วงแรก ให้ทำการรักษาติดต่อกัน 5 ครั้ง เว้นระยะห่าง 2 - 4 สัปดาห์ต่อการรักษา เมื่อครบ 5 ครั้งแล้ว สามารถกลับมารักษาซ้ำได้เป็นระยะ 2-3 เดือนขึ้นอยู่กับอายุ และสภาพผิว หรือความพึงพอใจของผู้รับการรักษาค่ะ

การดูแลผิวหลังการรักษาด้วย Elos

Elos Technology เป็นวิธีการรักษาที่อ่อนโยนต่อสภาพผิว หลังการรักษา เราสามารถแต่งหน้า และทำกิจกรรมได้ตามปกติ แต่ก็แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า 30 นะค่ะ

รักษาด้วย Elos เจ็บมากไหม?

สำหรับผู้ที่รักษาเป็นครั้งแรก จะรู้สึกเหมือนถูกดีดเบาๆ บางคนอาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่เป็นความรู้สึกที่ทนได้ และในคราวต่อๆ ไปจะไม่ค่อยรู้สึกเหมือนครั้งแรกๆ สำหรับการกำจัดขนนั้น จะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่เป็นความรู้สึกที่ทนได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชาใดๆ

หากใครสนใจในการกระชับผิวหน้า คราวหน้าจะไปพบแพทย์ ก็อย่าลืมตรวจสอบดูก่อนนะค่ะว่า แพทย์เขาใช้เทคโนโลยีอะไรในการรักษาค่ะ





เด็กเล็กไม่ถึง 2 ขวบไม่ควรดูทีวี/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ


เด็กเล็กไม่ถึง 2 ขวบไม่ควรดูทีวี

เด็กเล็กอายุไม่ถึง 2 ขวบ ไม่ควรดูทีวี เนื่องจากการปล่อยให้เด็กดูทีวีตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนั้น สามารถขัดขวางพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก และยังส่งผลต่อการมีสมาธิของเด็กอีกด้วย

จากรายงานของเอเอฟพีบอกว่า นี่เป็นคำแนะนำที่นักวิชาการที่ทำการศึกษา จะนำเสนอให้ นิโคลา โรซอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลีย พิจารณาเร็วๆ นี้ เพื่อดำเนินการให้ศูนย์รับเลี้ยงเด็กและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติตาม และขอความร่วมมือจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้ช่วยกันเพื่อพัฒนาการที่ดีของลูกหลาน ซึ่งหนึ่งในข้อแนะนำจากรายงานชื่อว่า เก็ท อัพ แอนด์ โกรว์ (Get Up And Grow) ยังได้พูดถึงเด็กเล็กตั้งแต่ 2-5 ขวบ ว่าควรจะดูโทรทัศน์ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง

"จากข้อมูลหลายชิ้นที่เราได้รับเมื่อเร็วๆ นี้ ล้วนมีคำแนะนำว่า เด็กเล็กที่อายุยังไม่ถึง 2 ขวบ ไม่ควรดูทีวีหรือเล่นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นดีวีดี คอมพิวเตอร์ และเกมอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ การใช้เวลาจุ้มปุ๊กอยู่หน้าจอทีวี อาจจะทำให้เด็กๆ มีกิจกรรมกรรมทางสังคม หรือได้ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ น้อยลง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก นอกจากนั้นยังอาจส่งผลถึงพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อตาของเด็กๆ ด้วย" ข้อมูลส่วนหนึ่งที่ระบุในรายงานดังกล่าว ซึ่งมีข่าวว่าทางการออสเตรเลียยังไม่มีมติออกมามีผลบังคับใช้ ขณะนี้ยังรอผลสรุปอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ก็อยากใช้เป็นข้อมูลให้ประชาชนได้รู้ เพื่อช่วยกัน

ทั้งนี้จากข่าวยังว่า เหตุที่มีการสำรวจเรื่องนี้ขึ้นมาก็เนื่องจากทางการออสเตรเลียได้รับข้อมูลว่ามีเด็กๆ เป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น อีกทั้ง ดร.โจ ซัลมอน จากมหาวิทยาลัยดีคิน หนึ่งในทีมศึกษา ยังบอกด้วยว่า ที่ผ่านมายังไม่มีหลักฐานหรือผลการศึกษาใดๆ ระบุเลยว่าเด็กได้รับประโยชน์จากการดูทีวี เธอยังฝากเตือนพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่ใช้โทรทัศน์เป็น "พี่เลี้ยงเด็ก" ว่าเป็นสิ่งไม่ควรทำ!!!

พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรหาทางเลือกอื่นให้ลูกๆ ได้เล่น ได้ผ่อนคลาย ซึ่งน่าจะเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาการด้านสมองของเด็ก เรายังไม่พบหลักฐานหรือผลการศึกษาใดที่อ้างได้ว่า วิดีโอและเกมคอมพิวเตอร์มีประโยชน์หรือเป็นผลดีต่อสุขภาพจิตและพัฒนาการของเด็ก

มิหนำซ้ำยังมีผลการศึกษาบางชิ้นบอกด้วยว่า เด็กเล็กและวัยรุ่นที่ดูทีวีมากเกินไป โดยดูเกินกว่า 2-3 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มที่จะสุขภาพไม่ดีเมื่อมีอายุมากขึ้น





เรื่องคนนอนดึก/ สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ



เรื่องคนนอนดึก

เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายเราต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ยแน่นอน ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสมอ่ะ แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนงานมาทำ หรือติดงานอะไรก็ตาม ควร

ปฏิบัติดังนี้

1 งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยากลำไส้ต้องทำงานหนัก

2 หากเราอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียดยิ่งเคี้ยวละเอียด ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระลำไส้

3 ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้งหรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้ เหมียนกัล

4 เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้อง / ฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า

5 ที่จริงมื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า

6 ควรเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกายร่างกายเราต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายเราต้องพยายามปรับอุณหภูมิให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้ว จึงนำไปใช้ การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพิ่มกรดให้ร่างกาย แถมมีน้ำตาลที่สะสมตามร่างกายอีก





แอโรบิคมวยไทย กีฬาป้องกันตัวเพื่อสาวๆ/ สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ


แอโรบิคมวยไทย กีฬาป้องกันตัวเพื่อสาวๆ

แอโรบิคมวยไทย เป็นการออกกำลังกายรูปแบบใหม่ นอก จากจะทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและยังเป็นศิลปะป้องกันตัวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย "

เคยทราบมาแล้วว่าการจะให้สุขภาพแข็งแรงนั้นจะต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำให้เพียงพอ แต่หากจะให้ครบสมบูรณ์แบบ อย่าลืมออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นโยคะร้อน บอดี้คอมแบต หรือแม้กระทั่งแอโรบิค ซึ่งขณะนี้มีการนำแม่ไม้มวยไทยเข้ามาผสมผสานแล้ว เรียกว่า แอโรบิคมวยไทย

แอโรบิคมวยไทย เป็นการออกกำลังกายรูปแบบใหม่ นอก จากจะทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและยังเป็นศิลปะป้องกันตัวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (สพก.) กระทรวงการท่องเที่ยวจัดโครงการอบรมวิทยากรแอโรบิคขึ้นภายใต้หัวข้อ การเต้นแอโรบิคมวยไทย เพื่อนำความรู้ไปเผยแพร่และให้ความรู้กับประชาชนในชุมชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน

สมบัติ คุรุพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (สพก.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่า แอโรบิคมวยไทยเป็นการออกกำลังกายที่ผสมผสานระหว่างกีฬาสมัยใหม่และศิลปะมวยไทย เป็นกีฬาที่ออกกำลังกายได้ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าในการใช้ศอก เข่า หมัด เตะหรือแม้กระทั่งการถีบ ก็เป็นท่วงท่าที่สำคัญมากสำหรับการออกกำลังกายรูปแบบนี้

น.ส.กิตาการ ฝากคำ ชั้น ม.5 โรงเรียนบดินทรเดชา 2 หนึ่งในสมาชิกแอโรบิคมวยไทยหญิงล้วน บอกว่า เห็นรุ่นพี่โชว์การเต้นแอโรบิคมวยไทยในงานปฐมนิเทศแล้วรู้สึกประทับใจมาก เพราะมีทั้งลีลาที่สวยงามและเข้มแข็ง และรู้สึกว่าเราเป็นผู้หญิงน่าจะสามารถถ่ายทอดท่าทางของมวยไทยออกมาสวยงามกว่าผู้ชาย ที่สำคัญยังสามารถใช้เป็นการป้องกันตัวได้อีก

อีกหนึ่งสาวจากโรงเรียนเดียวกัน น.ส.เต็มสิริ โพธิ์วันนา เผยว่า เล่นกีฬาประเภทนี้มา 5 ปีแล้ว เมื่อก่อนจะเป็นเด็กขี้โรค มีโรคประจำตัวเยอะมาก แต่พอมาเล่นแอโรบิคมวยไทยอย่างจริงจังอาการต่างๆ ก็เริ่มดีขึ้นและค่อยๆ หายไป กีฬาประเภทนี้ช่วยให้ได้ออกกำลังกายและบริหารร่างกายได้ทุกส่วน ซึ่งเมื่อต้องมาเต้นเป็นสเต็ปกับการเต้นแอโรบิคแล้วทำให้ได้ท่วงท่าที่สวยงาม ที่สำคัญทำให้ไม่น่าเบื่อ

น.ส.เต็มสิริ ทิ้งทายว่า เราเป็นคนไทยไม่ควรปล่อยปละละเลยให้สิ่งเหล่านี้หายไป ควรช่วยกันอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้ชื่นชมกัน และพวกเราจะเป็นส่วนหนึ่งของการนำสิ่งเหล่านี้ไปเผยแพร่ให้กับกลุ่มเพื่อนๆ ต่อไป

สาวๆ น่าจะชอบ เพราะนอกจากจะทำให้รูปร่างดีแล้ว ยังป้องกันตัวได้ด้วย




รู้จักอาการ ไวรัสลงกระเพาะ หรือยัง/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ


รู้จักอาการ ไวรัสลงกระเพาะ หรือยัง

มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นเชื้อโรคได้ด้วยตาเปล่า รู้อีกทีลูกน้อยก็เจ็บป่วย มีอาการแสดงออกให้เห็นแล้ว โดยเฉพาะการติดเชื้อไวรัส ที่เป็นกันได้ง่าย พบได้บ่อย อย่างไข้หวัดทั่วไป และหากลุกลามมากขึ้น ลูกน้อยก็อาจติดเชื้อไปถึงกระเพาะอาหาร

เพื่อเตรียมพร้อมรับมือเรื่องสุขภาพลูกน้อย เรามาดูข้อมูลเรื่องไวรัส ลงกระเพาะในเด็กวัยเบบี๋ค่ะ

รู้จักเชื้อไวรัส ต้นเหตุของโรค

เชื้อไวรัสตัวเจ้าปัญหาที่เป็นต้นเหตุของอาการไวรัสล งกระเพาะ ที่จริงมีอยู่หลายชนิด แต่ที่พบบ่อยกับเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี คือเชื้อไวรัสโรตา เป็นเชื้อโรคที่สามารถอยู่ในสภาวะแวดล้อมทั่วไปได้นา โดยอาจได้รับเชื้อจากสิ่งของรอบตัวที่มีเชื้อ เช่น ของเล่น จาน ชาม บริเวณพื้นที่ไม่สะอาด อาหารที่กินเข้าไป หรือได้รับเชื้อจากผู้ป่วยโดยตรง เชื้อมักระบาดในช่วงฤดูหนาว แต่อาจพบการติดเชื้อไวรัสโรตาได้ตลอดทั้งปี

ลักษณะอาการที่สังเกตได้

- อาจมีอาการเหมือนไข้หวัดทั่วไป คือมีไข้ตัวร้อน น้ำมูก หรือไอ ร่วมด้วย

- อาการเด่นชัดตามมา คืออาเจียน ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงมากขึ้น อาจมีอาการท้องอืดร่วมด้วย

- ปฏิเสธอาหารและมีอาการถ่ายเหลวตามมา

อาการที่กล่าวมา คุณพ่อคุณแม่สามารถรักษาอาการด้วยการประคับประคองอาก ารไม่ให้เป็น มากกว่าเดิม เพราะอาการจะค่อยๆ หายไปได้เอง ด้วยการดูแลอย่างเหมาะสมของคุณพ่อคุณแม่ ความรุนแรงของเชื้อไวรัสโรตา

ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของเด็กแต่ละคน เช่น สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง อาการของโรคอาจจะรุนแรงกว่าเด็กปกติทั่วไปได้ เรื่องที่ต้องระวังคือ ภาวะขาดน้ำจากการอาเจียน และถ่ายเหลว ซึ่งอาการที่สังเกตได้ คือไข้จะสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็ว งอแง ปากแห้ง ซึม ปัสสาวะลดลง และอาจมีปลายมือปลายเท้าเย็น

การป้องกัน ดูแล ที่เหมาะสม

- ดูแลสุขอนามัยเรื่องความสะอาดของพ่อแม่ พี่เลี้ยง และตัวเด็ก

- ล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำหรือปรุงอาหาร

- รักษาสุขอนามัย สิ่งแวดล้อม เช่น ของเล่น สิ่งของเครื่องใช้ หรือพื้นผิวที่ลูกสัมผัส

- หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในที่ชุมชนหนาแน่น หรือที่ที่มีการระบาดของโรค

ปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนทางเลือกให้คุณพ่อคุณแม่โดยส ามารถเริ่มให้วัคซีน (หยอด) ตั้งแต่อายุ 2 เดือนและ 4 เดือน โดยสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ประจำตัวของลูกได้ค่ะ

ดูแล

- เมื่อลูกมีไข้ ควรเช็ดตัวและให้ยาลดไข้

- ถ้าอาเจียน อาจให้กินน้ำโออาร์เอส (ผงน้ำตาลเกลือแร่) เพื่อรักษาและป้องกันภาวะขาดน้ำ

- สามารถดื่มนมและรับประทานอาหารย่อยง่ายได้

สิ่งสำคัญเมื่อลูกป่วยคือ การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด และเมื่อลูกมีอาการผิดปกติ เช่น ลูกไม่สามารถรับประทานอะไรได้ ปัสสาวะน้อยลง มีอาการซึมงอแง หรืออาเจียนบ่อยครั้ง คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบพาลูกมาพบคุณหมอทันทีค่ะ

สินค้ารวม