Custom Search

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับรักษาผิวสาว/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ






เคล็ดลับรักษาผิวสาว

เคล็ดลับสำหรับสาวๆ ที่อยากผิวสวย หุ่นดี สุขภาพดีจากข้างในสู่ภายนอก วันนี้เรามีเคล็ดลับสำหรับสาวๆ มาให้ลองทำค่ะ

1. ทาครีมกันแดด

่ผู้รู้เขาบอกว่า 80 % ของการเสื่อมของผิวหนังเกิดจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด

ริ้วรอย เหี่ยวย่น เนื่องจากจะทำลายเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติคทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นได้ แต่อยู่เมืองไทยจะเลี่ยงไม่ให้โดนแดดกันเลย ก็เห็นจะยาก จึงควรทาครีมปกป้องใบหน้าและลำคอเป็นประจำทุกวัน ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 15 ขึ้นไปส่วนการขับรถในที่แดดจ้า โดยไม่สวมแว่นกันแดด ทำให้คุณต้องหยีตากันคลอดเวลา ก็ทำให้รอยตีนกามาเยือนได้ง่าย ๆ รวมทั้งการเผลอทำหน้านิ่วคิ้วยุ่งๆอยู่บ่อยๆ ก็เป็นที่มาของริ้วรอยทั้งสิ้น

2. ท่านอนทำให้เกิดริ้วรอย

ผู้เชียวชาญด้านผิวพรรณ บอกว่า ในช่วง 6-8 ชั่วโมง ของการนอนในแต่ละวัน มีผลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบนอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ใบหน้าด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอน เกิดริ้วรอยมากกกว่าอีกด้าน ยิ่งพวกที่ชอบเอามือก่ายหน้าผาก ก็ยิ่งทำให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมานอนหงายแทนหรือเลือกใช้หมอนที่อ่อนนุ่ม และใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้าลื่นๆ อย่างผ้าซาติน จะสามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้

3. กินอาหารดีๆ

อาหารที่ดี มีประโยชน์ และครบหมวดหมู่ จะช่วยให้ผิวพรรณสดใสได้ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้ว ส่วนบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นตัวการสำคัญที่บ่อนทำลายผิวหนังให้เสื่อมก่อนวัยอันควร

4. อดนอน ริ้วรอยมาเยือน

การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากทำให้สุขภาพทรุดโทรมแล้ว ใบหน้าก็ดูหมองคล้ำ อิดโรย และถ้าคุณอดนอนบ่อย ๆจะทำให้ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัย

5. รู้จักผ่อนคลาย

ความเครียดที่ไม่มีโอกาสผ่อนคลาย เปิดโอกาสให้สิวจู่โจมได้ง่ายๆถ้าไม่อยากให้เกิดสิว ซึ่งพลอยทำให้ใบหน้าไม่สดใส ควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด การทำจิตใจให้สงบโดยการทำสมาธิ การฟังเพลงสบายๆ ชื่นชมกับธรรมชาติรอบตัว ให้เวลากับสุนัข

ของคุณ ก็ช่วยคลายเครียดได้












ความสำคัญของโลหิต/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ





ความสำคัญของโลหิต

โลหิต เป็นของเหลวชนิดหนึ่ง เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดโลหิตในร่างกาย โดยสูบฉีดจากหัวใจ โลหิตเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ให้อยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือแม้แต่ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นคว้ามาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการหาสารประกอบอื่นมาทดแทนโลหิตได้ ฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้โลหิตจากมนุษย์บริจาคให้แก่กัน

หน้าที่ของโลหิต

โลหิตทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างคือ ขนส่งก๊าซออกซิเจนจากการหายใจเข้า และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายเมื่อหายใจออก มีหน้าที่ขนส่งสารอาหารโดยการดูดซึมสารอาหารจากกระเพาะอาหาร และลำไส้เข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไหลเวียนผ่านไปยังตับ และส่งต่อให้เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะนอกจากนี้โลหิตยังมีหน้าที่รักษาสม ดุลย์ของน้ำ และเกลือแร่ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่โดยการไหลเวียนของโลหิตไป ทั่วร่างกาย

ความหมายของการบริจาคโลหิต

การบริจาคโลหิต คือการสละโลหิตส่วนหนึ่งที่ร่างกายเหลือใช้เพื่อให้กับผู้ป่วย เป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะร่างกายคนจะมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ซึ่งร่างกายใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้ ผู้บริจาคโลหิตสามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน เพราะเมื่อบริจาคโลหิตออกไป ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตใน ร่างกายเท่าเดิม ถ้าไม่บริจาค ร่างกายก็จะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัวเพราะหมดอายุออกมาในรูปของปัสสาวะ อุจจาระ หรือเหงื่อ อยู่แล้ว การบริจาคโลหิตใช้เวลาประมาณ 15 นาที ท่านจะได้รับการเจาะโลหิตและบรรจุในถุงพลาสติก (Blood Bag) ตั้งแต่ 350-450 มิลลิลิตร (ซี ซี) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค

คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต ผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

1.อายุระหว่าง 17-60 ปีบริบูรณ์

2.น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป สุขภาพทั่วไปสมบูรณ์ดี

3.ไม่มีประวัติโรคตับอักเสบ หรือดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง

4.ไม่เป็นไข้มาเลเรีย ในระยะ 3 ปี ที่ผ่านมา และไม่เป็นกามโรค โรคติดเชื้อต่าง ๆ ไอเรื้อรัง ไอมีโลหิต โลหิตออกง่ายผิดปกติ โรคเลือด ชนิดต่าง ๆ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์

5.ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักลดมากในระยะสั้น

6.ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำส่อนทางเพศ ไม่มีประวัติยาเสพติด

7.งดการบริจาคโลหิตภายหลังการผ่าตัด คลอดบุตรหรือแท้งบุตร 6 เดือน (ถ้ามีการรับโลหิตต้องงดบริจาคโลหิต 1 ปี)

8.สตรีไม่อยู่ระหว่างมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์

9.นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ รับประทานอาหารก่อนมาบริจาคโลหิต

10.ไม่อยู่ในระหว่างทานยาแก้อักเสบ หรือหลังจากงดยา 2 สัปดาห์แล้ว

เพิ่มเติม

ทุกท่านมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในการรับบริจาคโลหิต ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

หากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มิใช่คู่นอนของท่าน ภายในระยะ 22 วัน หรือ 3 สัปดาห์ กรุณางดการบริจาค เพราะถ้าได้รับเชื้อจะเป็นระยะฟักตัว ไม่สามารถ ตรวจพบได้

ผู้บริจาคโลหิตที่ต้องการทราบผลการตรวจ กรุณาติดต่อ 0-2251-3111, 0-2252-4106 -6 ต่อ 123,151

เกร็ดความรู้

ถ้านำเส้นโลหิตทั่วร่างกายมาต่อกัน จะมีความยาวถึง 96,000 กิโลเมตร หรือความยาวเท่ากับ2 เท่าครึ่งของระยะทางรอบโลก โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณโลหิตในร่างกาย จะมี 5-6 ลิตรในผู้ชาย และ 4-5 ลิตรในผู้หญิง และโลหิตจะมีการไหลเวียน โดยผ่านมาที่หัวใจถึง 1,000 เที่ยวต่อวัน คนหนุ่มสาวจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงเท่ากับ 35,000,000,000,000 เซลล์ (สามสิบห้าล้านล้านเซลล์) อยู่ภายในร่างกาย ในเวลา 120 วัน เซลล์เม็ดโลหิตแดง จำนวน 1.2 ล้านเซลล์จะถึงกำหนดหมดอายุขัย และถูกขับถ่ายออกมา ในขณะเดียวกันไขกระดูกซึ่งส่วนใหญ่ อยู่ในกระดูกซี่โครง กะโหลกศีรษะ และกระดูกสันหลัง จะช่วยกันผลิตเซลล์ใหม่เท่ากับจำนวนที่ตายไปขึ้นมาแ

แก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ





แก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง

เพื่อเพิ่มความมั่นใจ โดยที่ไม่ต้องโบ๊ะหน้าให้เหมือนนางเอกลิเก วิธีการแต่งหน้าแบบน้อย ให้เป็นธรรมชาติ และแก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้น โดยคุณแทบจะไม่รู้สึกว่าแต่งหน้าเลยด้วยซ้ำธี

จมูกไม่โด่ง

วิธีแก้ให้ดูจมูกโด่งขึ้นก็คือ ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลอ่อนๆไล้ช่วงหัวคิ้วมากๆ เน้นนะว่าแค่เบาๆ เป็นเงาๆก็พอ อย่าหนักเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหน้าอาจกลายเป็นงิ้วได้ จากนั้นไล้ตั้งแต่ช่วงหัวคิ้วลงมาด้านข้างของสันจมูกจนถึงปลายจมูก และค่อยๆเกลี่ยให้เข้ากับปีกจมูก ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน โดยให้สังเกตว่าเป็นเงาๆก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าใครที่มีปลายจมูกยาวอยู่แล้ว ก็ไม่ควรไล้ให้ถึงปลายจมูก แต่ควรไล้ตัดปลายจมูกแทน

แก้มตอบ

แก้มตอบอาจทำให้คุณรู้สึกหน้าตาไม่สดชื่นได้ แต่จริงๆอย่ากังวลกับจุดนี้มากไป วิธีแก้ง่ายมาก ขอแนะให้ใช้บลัชครีม หรือบลัชออนสีชมพู ชมพูอมส้ม หรือแดงเชอร์รี่ปัดแก้มเป็นวงกลมตรงส่วนที่นูนที่สุดของแก้มเหมือนกับเราดึงจุดเด่นของพวงแก้มออกมามากขึ้น อาจใช้บลัชออนแบบมีประกายกากเพชรนิดๆเข้าไปด้วย จะทำให้แสงหักเหตรงพวงแก้มมากขึ้น แต่อย่าแรเงาตรงกรอบของขอบหน้าเด็ดขาด นั่นจะยิ่งทำให้แก้มดูตอบได้ แล้วเวลาเขียนอายแชโดว์ ไม่ต้องเขียนเส้นขอบตามากนัก มันจะยิ่งเน้นความคมสันของหน้า ให้ทาอายแชโดว์สีอ่อนๆมีประกายทั่วเปลือกตาก็พอ ส่วนสีของปากให้ใช้ลิปสติกสีอ่อนๆเข้าไว้ ถ้าใช้สีเข้ม เช่น สีน้ำตาล จะยิ่งทำให้หน้าเล็กลงไปได้อีก

แก้มเยอะ

แก้มยุ้ยๆน่ารักออก แต่ถ้าอยากแต่งหน้าให้เล็กลงและหน้ายังดูสดใสอยู่ ควรเลือกใช้บลัชครีม สีแดงเชอร์รี่และให้ลองแต้มที่กึ่งกลางแก้ม แตะวนเป็นกลมๆและใช้ปลายนิ้วมือเกลี่ยบลัชครีมขึ้นไปในแนวทะแยงจนถึงไรผมใกล้ๆขมับ เป็นการสร้างเฉดให้หน้า เงาตรงนี้จะทำให้หน้าดูเล็กลง และสีแดงของบลัชจะทำให้แก้มดูเหมือนมีเลือดฝาดแบบเด็กๆ น่ารักสดใสเป็นธรรมชาติ

ตาไม่ดึงดูด

อยากให้ตาดูมีเสน่ห์มากขึ้น หน้าทั้งหน้าจะได้ดูเด่นขึ้นไปด้วย แนะนำให้ใช้อายแชโดว์สีชมพูอ่อนๆจะเป็นแบบมีประกายสีเงินวาวๆซ่อยอยู่ด้วยก็ดี ทาอายแชโดว์ไปตามแนวพับเพื่อเป็นการสร้างสีสันให้ดวงตา แล้วใช้อายไลเนอร์แบบดินสอ เลือกสีเขียวสดไปเลย เขียนให้ชิดเส้นขอบตาด้านบน เขียนให้เส้นโตๆหน่อย เพื่อทำให้ตาดูเด่นสะดุด แล้วปัดเฉพาะขนตาบนให้เด้งที่สุด ตาจะเก๋มีเสน่ห์ขึ้นมาทันที

คางเหลี่ยม และหน้าดูไม่มีมิติ

ให้ลงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ก่อนเพื่อปรับสภาพผิวหน้า เพราะจะช่วยให้เกลี่ยบลัชครีมง่ายขึ้น ถ้าผิวเนียนอยู่แล้วไม่ต้องใช้รองพื้นเลย ใช้บลัชครีมโทนสีน้ำตาลเข้มหน่อยเพื่อให้หน้ามีแสงเงาขึ้น แต้มไปตามกรอบของหน้าโดยเน้นส่วนที่เป็นเหลี่ยมๆและส่วนของโหนกแก้มที่ทำให้หน้าดูแข็ง อย่าลืมแต้มตรงกรอบหน้าที่ติดกับไรผมด้วยนะ เวลาแต้มบลัชตรงแก้มให้แต้มเริ่มจากขมับไล่ไปตามแนว 45 องศา เข้ามาในหน้าจนถึงระดับกลางตาดำ จากนั้นค่อยๆใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ให้ดูกลืนกัน แค่นี้ก็จะเป็นการสร้างกรอบหน้าใหม่ให้ดูเข้ารูปและมีมิติขึ้นแล้ว

ตาเล็กและหนังตาตก

สามารถทำให้ตาคมโตขึ้นได้ง่ายๆ คือ เริ่มจากเลือสีอายแชโดว์สองสี สีอ่อนและสีเข้มมาใช้สร้างรูปตาของเราให้ดูมีชั้น ใช้อายแชโดว์สีอ่อนทาทั่วเปลือกตาตามรอยพับก่อน อย่าลืมทาตรงช่วงโหนกคิ้วด้วยนะ แล้วใช้อายแชโดว์สีเข้มไล้ช่วงหางตาขึ้นไปเป็นแนวโค้งของเบ้าตา ถ้าสงสัยว่าเบ้าตาอยู่ตรงไหน ให้ส่องกระจกแล้วเลิกคิ้วดู จะเห็นกระบอกตาที่ดูลึกเข้าไป นั่นล่ะเบ้าตา ก็ไล้ไปตามแนวนั้นได้เลย จากนั้นใช้อายแชโดว์สีเข้มอันเดิม แตะน้ำนิดหน่อย แล้วใช้พู่กันเขียนลงให้ชิดเส้นขอบตาบน เน้นช่วงตรงหางตา แค่นี้ก็ทำให้ตาดูคมโตขึ้นแล้ว


วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีดูแลทำความสะอาดน้องหนูของเราอย่างถูกวิธี/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ





วิธีดูแลทำความสะอาดน้องหนูของเราอย่างถูกวิธี

อย่าเพิ่งคิดว่าเอาเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่แล้วมาบอกนะคะ บางคนอาจจะไม่รู้ก็ได้ค่ะว่าจริงๆ แล้วควรทำความสะอาดอย่างไร จึงจะถูกต้องและปลอดภัยจริงๆ นะคะ

1. เมื่ออาบน้ำ เราควรจะล้างทำความสะอาดส่วนนั้นด้วยการใช้สบู่ที่ใช้ถูตัว หรือสบู่อ่อนๆ โดยเริ่มจากขนบริเวณอวัยวะเพศ แล้วลงมาใต้หัวหน่าว ล้างทุกซอกมุมตรงที่แคบใหญ่แยกออกจากกัน แต่ไม่ต้องล้วงเข้าไปในช่องคลอดนะคะ เพราะจะอันตรายได้ค่ะ และห้ามทาแป้งที่ก้นเด็ดขาด เพราะเมื่อแป้งถูกความชื้นจะทำให้เป็นเชื้อราได้ง่าย และน้ำหอมที่อยู่ในแป้งอาจทำให้ผิวอวัยวะเพศซึ่งอ่อนมากๆ เกิดอาการแพ้ได้ค่ะ

2. การทำความสะอาดหลังปัสสาวะและหลังอุจจาระ หลังปัสสาวะนั้น สามารถใช้กระดาษชำระซับให้แห้งก็เพียงพอค่ะแม้จะมีประจำเดือนอยู่ก็ตาม หรือถ้ามีฝักบัวฉีดน้ำเบาๆ แล้วซับให้แห้งก็ได้ค่ะ หากอุจจาระควรแยกทำความสะอาด อย่าเช็ดจากทวารหนักมาหาอวัยวะเพศนะคะ เพราะจะทำให้เชื้อโรคจากอุจจาระเข้าไปในช่องคลอด ทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ค่ะ หากมีฝักบัวให้ฉีดน้ำเบาๆ ล้างให้สะอาดแล้วซับให้แห้งเช่นกันค่ะ

3. ขณะที่มีประจำเดือน ควรหาโอกาสล้างก้นให้สะอาดทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าอนามัยหรืออุจจาระนะคะ

4. หลังการมีเพศสัมพันธ์ ให้เข้าห้องน้ำปัสสาวะออกมาเพื่อป้องกันการติดเชื้อผ่านเข้าช่องถ่ายปัสสาวะ และเป็นการให้น้ำอสุจิหรือสารคัดหลั่งในช่องคลอดได้ไหลออกมา จากนั้นล้างภายนอกให้สะอาดแล้วซับให้แห้งค่ะ ไม่ต้องใช้น้ำยาสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดนะคะ

ข้อความระวัง

1. การใช้เครื่องมือสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดอาจทำให้เกิดการติดเชื้อโรคได้ และยังไปฆ่าแบคทีเรียที่มีอยู่ตามปกติในช่องคลอดซึ่งมันจะคอยต่อต้านเชื้อโรคจากภายนอกให้เรา จึงทำให้ติดเชื้ออื่นๆ ได้ง่าย และถ้าหากแพทย์ไม่ได้สั่ง ไม่ควรใช้ยาใดๆ สอดเข้าไปในช่องคลอดเองนะคะ เพราะอาจดื้อยาได้ค่ะ

2. การเข้าห้องน้ำสาธารณะ หากมีฝักบัวฉีดน้ำควรระวังการติดเชื้อโรคจากฝักบัวที่ไม่สะอาดค่ะ เพราะคนที่เข้าห้องน้ำก่อนหน้าเราจะมีเชื้อโรคอะไรแฝงอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ ควรฉีดน้ำทิ้งไปก่อนเล็กน้อย และควรฉีดให้ฝักบัวอยู่ห่างจากอวัยวะของเราพอประมาณ อย่าให้อยนู่ติดเกินไปค่ะ หรือใช้แค่กระดาษชำระสะอาดๆ ซับแห้งก็พอค่ะ



สารพันเคล็ดความงามแบบไทย/ สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ






สารพันเคล็ดความงามแบบไทย


สมุนไพรหรือผักผลไม้ที่หาได้ง่ายๆ ในบ้านเราล้วนมีสรรพคุณในทางยา ซึ่งไม่เพียงแต่การกินจะช่วยให้สุขภาพร่างกายดีแล้ว คุณยังสามารถนำมาใช้กับร่างกายภายนอกได้ด้วย และนี่คือสารพันสูตรความงามแบบไทยๆ ที่เรารวบรวมมาให้คุณ
ว่านหางจระเข้ คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมายในเรื่องของความงาม ว่านหางจระเข้ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง ขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำ เราสามารถใช้ว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงผิวได้โดยตรง โดยใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใสที่อยู่ภายใน แต่ก่อนใช้ควรทดสอบก่อนว่าจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำจากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ ทาบริเวณโคนหูแล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าไม่เกิดเป็นผื่นแดง ก็สามารถใช้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว เพื่อให้สิวแห้งเร็ว และว่านหางจระเข้ยังช่วยลดความมันของผิวหน้าได้โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงอีกด้วย

แตงกวา มีเอนไซม์ Cryssin ซึ่งทำให้ผิวหนังที่หยาบกร้านหลุดออกไป และช่วยเผยผิวใหม่ที่อ่อนนุ่มโดยคุณสามารถใช้แตงกวาสดฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้ววางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดได้โดยตรง เพื่อช่วยสมานผิว

มะขามเปียก มีฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ จึงช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ลองใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี แล้วพอกบริเวณผิวหนังโดยเฉพาะผิวที่หยาบกร้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก หรือบริเวณที่ผิวกร้านดำ เช่น รักแร้ ขาหนีบ จะทำให้รอยดำลดลงได้

กล้วยน้ำว้า ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ลองใช้กล้วยน้ำว้า 1 ลูก ผลผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นรวมกันให้เป็นครีมข้น แล้วใช้ทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

ทุเรียน ช่วยลดปัญหาสิว ลองใช้เนื้อทุเรียนแบบที่สุกพอห่าม หันเป็นชิ้นเล็กๆ 3-5 ช้อนโต๊ะ แล้วปั่นรวมกับดินสอพอง ? ช้อนโต๊ะ แล้วใช้ทาทั่วผิวหน้า (เว้นรอบดวงตาและปาก) หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด กำมะถันในทุเรียนจะช่วยให้สิวแห้งเร็วขึ้น

มะม่วงสุก แก้ปัญหาฝ้าและสิว วิธีการก็คือ ใช้เนื้อมะม่วงสุก 1 ผล ผสมกับน้ำมะนาว ? ช้อนโต๊ะ และดินสอพอง ? ช้อนโต๊ะ ปั่นรวมกันจนเป็นส่วนผสมข้นๆ ใช้ทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ขมิ้นสด มีสาร Curmin และมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิด ช่วยบำรุงผิวหน้าให้สดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว ลองใช้ขมิ้นสดเล็กน้อยมาปั่นรวมกับดินสอพองและน้ำมะนาวหนึ่งผล จนเป็นส่วนผสมข้นๆ มาให้ทั่วในหน้าที่สะอาด ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ใบบัวบก ช่วยลดเลือนรอยย่นบนใบหน้า วิธีการก็คือใช้ใบบัวบกสดๆ หั่นฝอยประมาณ ? ถ้วยตวงเติมน้ำต้มสุกนิดหน่อย แล้วนำไปปั่นให้เป็นน้ำข้นๆ กรองเอาแต่น้ำ แล้วใช้สำลีชุบทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยบำรุงผิวหน้าให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย เพราะใบบัวบกมีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้ทำงานได้ดีขึ้น

หยุดวิธี"ที่จะทำร้ายเส้นผมให้แตกปลายเสียที"




หยุดวิธี... ที่จะทำร้ายเส้นผมให้แตกปลายเสียที

สวัสดีค่ะ สาว ๆ ทั้งผมสั้นและผมยาวทั้งหลาย คุณคงจะเคยประสบกับปัญหาผมแตกปลายกันมาแทบจะทุกคนแล้วใช่มั๊ยคะ แก้ยังไงก็ไม่หายสักที ถึงขนาดลงทุนตัดผมที่แตกปลายทิ้งไปก็แล้ว ตัดผมสั้นแล้วก็ตาม พอผมยาวขึ้นมาหน่อย ก็ไม่วาย หนีไม่พ้นปัญหาผมแตกปลายกันอีกใช่มั๊ยล่ะ ไม่ต้องกังวลใจไปหรอกค่ะ คุณสาว ๆ ทุกคนก็สามารถมีผมที่สวยได้ เพียงแต่ถ้าคุณรู้วิธีในการหยุด... ที่จะทำร้ายเส้นผมของคุณวันนี้มีวิธีในการหยุด... ที่จะทำร้ายเส้นผมมาฝากกันค่ะ

1.อย่าหวีผมมากเกินไป โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ชอบการหวีผมในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ ซึ่งจะทำให้เส้นผมของคุณขาดง่ายมากขึ้น เพราะในขณะที่ผมเปียกเป็นช่วงเวลาที่เส้นผมอ่อนแอที่สุด ทางที่ดี คุณควรปล่อยให้ผมแห้งก่อนแล้วจึงค่อยหวีผมจะเป็นการดี แต่ถ้าคุณอยากที่จะหวีผมตอนผมเปียกมาก ๆ แล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้คุณใช้หวีซี่ห่าง ๆ หวีผมแทนแปรงหรือหวีซี่เล็ก ๆ ค่ะ ซึ่งการใช้หวีซี่ห่าง ๆ หวีผมตอนผมเปียก จะไม่เป็นการทำลายเส้นผมมากค่ะ

2.อย่าใช้ไดร์เป่าผม หรือหนีบผมให้ตรงบ่อยเกินไป รวมทั้งการทำผมให้เป็นเกลียวด้วยความร้อนจากแท่งทำความร้อน เพราะความร้อนจะเข้าไปทำลายความชุ่มชื่นของเส้นผม และทำให้ผมแตกปลายได้ง่าย ๆ แต่ถ้าคุณนิยมที่จะทำให้ผมแห้งไว ๆ แล้วล่ะก็ อาจจะใช้วิธีการเป่าผมหน้าพัดลม หรือใช้ไดร์เย็นเป่าห่าง ๆ จากเส้นผม ก็ได้ค่ะ

3. หาอาหารบำรุงเส้นผม อย่างเช่น การหมักผม หรือการอบไอน้ำ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะดีค่ะ เพื่อเป็นการช่วยให้เส้นผมมีความนุ่ม และชุ่มชื้นมากขึ้น ลดการแตกปลายจากเส้นผมได้อีกด้วยค่ะ

4. หมั่นเล็มผมที่แตกปลายเป็นประจำ คุณควรเล็มผมที่แตกปลายออกไปเสียบ้าง เพื่อลดจำนวนเส้นผมที่แตกปลาย และช่วยให้เส้นผมที่ขึ้นมาใหม่มีสุขภาพดีขึ้น วิธีที่ดีที่สุดคือ คุณควรหมั่นเล็มปลายผมทุก ๆ เดือน

5. อย่ารวมผมให้ตึงจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการรวบมัดผมให้แน่น ๆ หรือการมัดผมทรงสูงให้เป็นหางม้า แล้วล่ะก็ ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีการทำลายเส้นผมทั้งนั้น ลองเปลี่ยนมาปล่อยผมให้เป็นธรรมชาติดูบ้าง ก็จะไม่เป็นการทำลายเส้นผมของคุณแล้วล่ะคะ

6. หลีกเลี่ยงการทำสีผม เพราะการทำสีผมที่บ่อยครั้งจนเกินไป จะทำให้เส้นผมขาดความชุ่มชื่น และถ้าหากคุณบำรุงไม่ดีหรือใช้น้ำยาในการทำสีผมที่ไม่ดีแล้วล่ะก็ ผมคุณจะแห้งและแตกปลาย กลายเป็นผมเสีย ถึงขนาดต้องตัดทิ้งกันเลยทีเดียวนะคะ

7. ควรใช้น้ำยาดัดผมหรือยืดผมที่มีคุณภาพ สำหรับสาว ๆ ที่รักการดัดผมหรือยืดผมเป็นชีวิตจิตใจแล้วล่ะก็ ควรเลือกสักนิดนะคะ สำหรับน้ำยาที่ทางร้านทำผมจะนำมาดัดผม หรือยืดผมของคุณ คุณควรสังเกตุให้ดีว่า น้ำยาหมดอายุหรือยัง หรือมีมาตรฐานมากแค่ไหน เพราะถ้าใช้น้ำยาในการดัดผมหรือยืดผมที่ไม่มีคุณภาพแล้วล่ะก็ นอกจากจะดัดผมหรือยืดของคุณออกมาไม่เป็นลอนหรือตรงแล้ว ยังทำให้ผมของคุณแห้งกรอบ แตกปลายและผมเสียไปเลยนะคะ ทางที่ดี คุณอาจจะหาน้ำยาดัดผมหรือน้ำยายืดผมที่มีคุณภาพ แล้วไปให้ทางร้านดัดหรือยืดให้ก็ได้ค่ะ

8.หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดนาน ๆ เพราะแสงแดดนอกจากจะทำลายเส้นผมอ่อนแอแล้ว ยังทำให้เส้นผมแห้งกรอบ ขาดความชุ่มชื้นและเปลี่ยนสีได้อีกด้วย

9. สระผมทุกครั้งที่มีการว่ายน้ำ คุณควรจะสระผมทุกครั้งหลังจากการว่ายน้ำเสร็จ เพราะน้ำคลอรีนหรือน้ำทะเล มีส่วนในการทำให้ผมเสียได้ง่าย ๆ นอกจากจะทำให้สีผมจางแล้ว ยังทำให้เส้นผมอ่อนแอและหยาบกระด้าง อีกด้วย การสระผมจะช่วยชำระล้างคราบคลอรีนและน้ำเค็มจากทะเลที่ติดอยู่ตามเส้นผมให้ออกไปจนหมดได้

10. หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูที่แรงต่อเส้นผมของคุณ ซึ่งการใช้แชมพูที่แรงต่อเส้นผมในการสระผมของคุณนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการนำสารเคมีมาใส่บนเส้นผมของคุณ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เส้นผมของคุณสุขภาพดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายเส้นผมของคุณทางอ้อมไปในตัวด้วยค่ะ

เป็นอย่างไรบ้างคะ กับวิธีที่จะหยุดทำร้ายเส้นผมของคุณเอง เป็นเรื่องใกล้ ๆ ตัวคุณเองเลยใช่มั๊ยล่ะ แต่คุณอาจจะมองข้ามไป หรือไม่ได้ให้ความสนใจใส่ใจอย่างเพียงพอ เส้นผมของคุณเลยต้องออกมาประท้วง เพื่อที่จะให้คุณได้หันมาสนใจดูแลมันบ้างยังไงล่ะคะ เพียงแค่คุณปฏิบัติตามเพียงแค่นี้ ผมสวย ๆ ของคุณก็จะยังคงอยู่กับคุณไปอีกนานค่ะ.


หลับไม่อิ่ม มีสิทธิ์อ้วนได้/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ




หลับไม่อิ่ม มีสิทธิ์อ้วนได้

รู้ๆ กันว่า การอดนอนนั้น ทำให้ดูโทรม ผิวเหี่ยว สมองเฉื่อยชา แต่มีข่าวใหม่ล่าสุด บอกว่า การหลับไม่เต็มอิ่ม ยังทำให้ยากที่จะรักษารูปร่างได้ และมีแนวโน้มที่น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย เรียกว่า นอกจากจะไม่สวยแล้ว ยังอาจทำให้อ้วนขึ้นได้อีกต่างหาก

ผู้หญิงเรา ต้องการนอนแค่ไหนจึงจะพอ

นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ถามกันบ่อยมาก Dr. James B. Maasเจ้าของหนังสือ " Power Sleep " บอกว่า โดยเฉลี่ยผุ้หญิงจะนอนประมาณ 6 ชั่วโมง 10 นาที ทั้ง ๆ ที่ แหญิงสาวในวัยไม่เกิน 25 ควรนอนให้ได้ 9 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงในวัยเกิน 25 ปีไปแล้ว อาจต้องการนอน แค่วันละ 8 ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า จำนวนชั่วโมงการนอนที่ได้ผลดีกับร่างกาย มากที่สุด นั่นคือ ทำให้สมองได้ พักผ่อนอย่างเต็มที่ เซลล์ของร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง อยู่ที่ 9 ชั่วโมง 25 นาที ไม่ใช่ 8 ชั่วโมงอย่างที่เคยเชื่อกัน

ออกกำลังกายในช่วงไหน จึงจะทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น

การออกกำลังกายในตอนเย็น (ช่วง 16.00-18.00 ) จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณนอนหลับฝันดี โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ชนิดที่ช่วยเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การวิ่ง เดิน ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที

ทำไมการนอนไม่เต็มอิ่ม อาจทำให้คุณอ้วนได้

ผลการศีกษาจาก มหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า กลุ่มผู้ชายที่มีสุขภาพดี วัย 17-28 ปี ที่นอนเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 6 วันติดต่อกัน จะมีผลทำให้ระดับความดันของเลือดและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่า การอดนอน ทำให้เป็นหวัด ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับความเครียด และมีอาการอ่อนเพลีย แต่น้ำหนักตัวกลับเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเมื่อคนเรามีอาการเครียดและรู้สึกอ่อนเพลีย ก็มักจะหาทางออกด้วยการกินอาหารที่มีรสหวาน ซื่งเป็นปฎิกริยาของร่างกาย ที่ต้องการพลังงานไปชดเชยนั่นเอง

ฝึกหายใจแบบโยคะ ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น

Dr. Derek Loewy ผุ้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย Stanford แนะนำว่า การฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ เหมือนการท่าฝึกหายใจของโยคะ จะช่วยให้ลดความตึงเครียดและอาการหงุดหงิดลงได้ การฝึกหายใจ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มออกซิเจนให้กับร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลีย และขับไล่สารพิษเมื่อหายใจออก และช่วยให้จิตใจสบาย ร่างกายผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลต่าง ๆ ได้ จึงช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น

วิธีฝึกหายใจ

นั่งไขว้ขา หลังตรง ยืดหน้าอกขึ้น แต่ผ่อนคลายส่วนไหล่ วางมือลงบนหน้าท้อง โดยให้ฝ่ามือหันเข้าลำตัว หายใจเข้าลึก ๆปล่อยให้มือ ขยับขึ้นลง ตามจังหวะการหายใจ ฝึกหายใจในท่านี้ ประมาณ 10 ครั้ง


สินค้ารวม