Custom Search

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขอบตาดำ สัญญาณไตเสื่อม!!!/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ



ขอบตาดำ สัญญาณไตเสื่อม!!!

มาดูว่ามันเกิดจากอะไรก่อนดีกว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าขอบตาดำเกิดจากนอนน้อยนอนดึกแต่จริงๆแล้วมีเรื่องซ่อนเร้นมากกว่านั้นครับ

ร่างกายของคนเราจะมีสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเสมอแต่น่าเสียดายที่คนเรา ไม่เข้าใจ หรือ ไม่รู้ว่าร่างกายต้องการบอกอะไรเรา คนที่ขอบตาดำพึงระวังไว้ครับว่าร่างกายกำลังเตือนเรา ว่าไตกำลังจะเสื่อม ! ไม่ต้องตกใจครับ ไม่ว่าอายุแค่ไหนหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน หรือ แก่ชราล้วนมีสิทธิไตเสื่อมด้วยกัน ทั้งนั้น ผมพูดถึงไตเสื่อมนะครับไม่ใช่โรคไต ตามที่เราเข้าใจกัน

ไตเป็นอวัยวะภายในที่ทำหน้าที่กรองของเสียในร่างกายซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆอย่างของไต หน้าที่อีกหลายอย่างของไตถ้ากล่าวถึงทั้งหมดเกรงจะยิ่งยาวจึงสรุปให้สั้นๆว่าไตนั้นเปรียบเหมือน GMหรือผจก.ของร่างกาย คนเราโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้ใช้ชีวิตกันในรูปแบบที่สุขภาพร่างกายจะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆโดยเฉพาะการทำร้ายไตของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะรับประทานอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไปหรืออาหารที่มีปัจจัยหยินหยางไม่สมดุลกับร่างกายตัว เอง (เค็มมาก มันมาก เผ็ดมาก ฟาสฟู้ด อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารอุตสาหกรรมต่างๆฯลฯ ) อีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้อง ทั้งนอนน้อยเกินไปนอนมากเกินไป นอนไม่เป็นเวลา ไม่ออกกำลังกาย(รวมถึงการออกกำลังที่ไม่เหมาะกับสภาวะของร่างกายตัวเอง) เครียดมาก กดดัน มาก รีบเร่งมาก ฯลฯ

คนในยุคปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะอยู่ในภาวะไตเสื่อมมากขึ้นและให้สังเกตสภาพร่างกายของตัวเองดังต่อ ไปนี้ครับ

1. มักจะอ่อนเพลียบ่อยขาดความกระตือรือร้น

2. นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่สนิท

3. ปัสสาวะบ่อย หรือกะปริดกะปรอย

4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย

5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย

6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืมขี้วิตกกังวล

7.หย่อนสมรรถภาพทางเพศหลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ

8.ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอกผมร่วงก่อนวัย

จริงๆมีเยอะกว่านี้นะครับ....เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน คือไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการ แบบนี้ทั้งหมดนะครับแต่โดยรวมแล้วมีปรากฎให้เห็นกับตัวเองและคนรอบข้าง

ทีนี้มาดูกันครับว่าอะไรบ้างที่ทำให้ไตเราเสื่อมกันนะครับ

1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล : ทำงานหนักเกินไปหามรุ่งหามค่ำ ไม่หลับไม่นอนหรือ เที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ

2. เพศสัมพันธ์ : การมีเพศสัมพันธ์มากเกินควรและการหลั่งน้ำอสุจิมากเกินควรทำให้ร่างกายเสีย พลังไปโดยเปล่าประโยชน์และไตจะอ่อนแอลง

3. การทานยารักษาใดๆเป็นระยะเวลานานหรือ ในปริมาณที่มากทั้งยาแก้ปวด ยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหาย แต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่

ยังมีอีกเยอะครับแต่ค่อนข้างจะลงรายละเอียดเยอะไปแล้วแค่นี้คงครอบคลุมแล้วล่ะมั้งครับ ลองพิจารณารูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองดูก่อนว่าเป็นอย่างไรและมีอาการตามที่ผมว่ามาหรือไม่ แล้วเรามาว่ากันต่อด้วยเรื่องการแก้ไข

การแก้ไข

ง่ายสุดครับคือปรับพฤติกรรมของตัวเอง ทั้งการนอน การกิน การอยู่ ผมให้Tip ง่ายๆเลยนะครับหนึ่งวันมี 24 ชม. ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยวพักผ่อน ดูทีวี สันทนาการออกกำลังกาย) นอน 8 ชั่วโมง เป็นไงล่ะครับทำยากใช่มั้ยครับผมถึงบอกไงว่าคนยุคปัจจุบันนี้ไตเสื่อมกันเยอะและจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นอีกเยอะมากๆในไม่เกิน 10 ปีนี้ หมอจะกำไรมากขึ้นจากการรักษาคนป่วยแต่คนป่วยจะไตพังกันมากขึ้นจากการกินยา แล้วก็จะวกมาให้ หมอรักษาไตอีก (- _- " ) เพราะฉะนั้นเราจึงควรพิจารณาตัวเองและตัดสินใจเองครับว่าจะบริหารจัดการกับชีวิตตนเอง อย่างไร ที่ไม่เสียงาน และยังมีรายได้ และไม่เสียสุขภาพ ขอให้โชคดีนะครับ

นอกจากนี้ผมมีข้อแนะนำสำหรับคุณอีกดังนี้ครับ

1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดีแต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุลจึงไม่แนะนำให้เล่นต่อเพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้นอยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ชำนาญซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ (ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับจะเสียมากกว่าได้ ) การฝึกโยคะไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยความงามแต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายใน ต่างๆของร่างกายและช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ได้ดีมากแต่ต้องฝึกอย่างมีวินัยและมีสมาธิ นอกจากนี้หากมีโอกาสอยากให้ฝึกชี่กงควบคู่ไปด้วยจะเห็นผลดี และเร็วยิ่งขึ้น หากรู้สึกว่ายากหรือห่างตัวเกินไปสำหรับคุณ ก็ให้เลือกการว่ายน้ำโดยว่ายอย่างเบาๆแต่ต่อเนื่องในเวลาที่พอสมควร(รู้สึกเหนื่อยเมื่อไรให้หยุดพักห้ามฝืนต่อ) ว่ายเบาๆ อย่าจ้ำพรืด..จ้ำพรืด..(คุณไม่ได้ไปแข่งกับใครคุณกำลังบำบัดตัวเอง)

2. ปรับอาหาร งดเนื้อสัตว์ย่อยยากอย่างวัว หมู ไก่ เป็ด แกะของเผ็ด ของเย็น (ไอสครีม น้ำ แข็ง ) ของมัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสดที่ปรุงน้อย(เช่นสลัด)มากขึ้นทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพดดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ห้ามดื่มน้ำเย็น)และงดเครื่องดื่มของมึนเมาน้ำอัดลม นม น้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว บรรจุขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง)

3. อยู่ห้องแอร์ให้น้อยลงอยู่หน้าจอคอมฯจอโทรทัศน์ให้น้อยลงหาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น(เดินเท้าเปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก)

อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกายของเราไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม หรือความรู้สึกก็ดี ล้วนมีส่วนสัมพันธ์กับอวัยวะไต ไตนั้นเปรียบเสมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของมนุษย์เป็นเหมือนผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาลแต่ก็เปราะบางยิ่งนักและง่ายต่อการแตกร้าว วิธีการดูแลรักษาไม่ยากเลยสำหรับคนในยุคสมัยก่อนแต่ยากยิ่ง สำหรับคนยุคสมัยนี้ นั่นคือ"คล้อยตามธรรมชาติ"

คนสมัยก่อน ตื่นเช้านอนแต่หัวค่ำทานอาหารที่สดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมดื่มน้ำบริสุทธิ์ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ ในขณะที่คนยุคปัจจุบันนอนดึกเป็นกิจวัตร(ทำงาน,ดูบอล,ดูโทรทัศน์,เที่ยวกลางคืน)ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลม พึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินความจำเป็น ฯลฯ

อาการไตเสื่อมจะเกิดใน 2 ลักษณะ แยกเป็น ไตหยิน กับไตหยาง

อาการไตหยาง หรือไตหดตัวแน่น นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย อสุจิเคลื่อนตอนนอน เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ โดยมีสาเหตุมาจาก

1.ทานอาหารรสเค็มจัด หรือเนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือพวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อย

2. ระบบการทำงาน หรือการใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ

3.การนั่งทำงานหรือนั่งรถนาน

ส่วนอีกลักษณะคือ ไตหยินหรือ ไตคลาย เฉื่อยชา เกียจคร้าน ความต้องการทางเพศต่ำลง ปวดเมื่อหลัง เอว ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน นอนตื่นสาย ไม่อยากตื่น อารมณ์อ่อนไหวง่าย ขี้หูมาก เหงื่อออกเยอะผิดปกติ

ตามปกติแล้ว ในเวลากลางคืนไต ซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำหรือ "หยิน"จะทำงานมากกว่าเวลากลางวัน (สังเกตว่าเวลาตื่นเช้า เราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับแรก) ดังนั้นเมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย"หยิน"ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิด เช่นขี้เกียจ อยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียว ขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น) ฉะนั้น ถ้าใครที่ใกล้ตัวหรือ พนักงานของใครที่ขี้เกียจ ก็อย่าไปดุด่าโทษเขา แต่ควรพูดคุย สอบ ถามวิธีการใช้ชีวิตแล้วแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการนอน การใช้ชีวิตจะได้บุญครับ ^ ^

การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่มปัจจัยหยินได้แก่

- การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัยรวมทั้ง น้ำแข็ง ไอสกรีมหวานเย็น และอาหารลักษณะนี้

- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์

- การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์

- การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวันควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้างหรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต (ควรเป็นผ้าธรรมชาติ เช่นคอตตอน ) และหาโอกาสออกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง สำหรับคนที่นอนห้องแอร์ควรสวมเสื้อผ้าห่มผ้าให้อบอุ่น

- การนั่งรถนานๆโดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น

- นอนไม่เป็นเวลาทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อยหรือ นอนผิดเวลา สำหรับคนที่นอน และทำงานผิดเวลา ตามหลักวงจรธรรมชาตินั้นเวลากลางวัน คือ ยามสำหรับทำงาน เรียนหนังสือ ส่วนกลางคืน คือ ยามสำหรับพักผ่อน นอนหลับ (หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง)การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้นจะส่งผลถึงสุข ภาพร่างกายและจิตใจอย่างแน่นอนแม้ในปัจจุบันนี้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่นั่นเพราะ ตัวคุณมี "ทุน"ที่ยังค้ำยันอยู่แต่เมื่อใดที่ทุนนั้นพร่องลงไปเรื่อยๆ เพราะการใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัยหยินเช่นนี้อยู่

อาหารที่ควรเลือกรับประทานเป็นหลัก ได้แก่

1. ข้าวกล้อง

2. สาหร่ายทะเล

3. ถั่วแดง ผักสดผลไม้รสไม่หวานและ น้ำน้อย

4. เต้าเจี้ยว หลีกเลี่ยง

การใช้ชีวิตดังนี้

1. การสวมใส่รองเท้าส้นสูง

2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็งหรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ(เก้าอี้ หรือ เตียงดีไซน์เก๋ๆ ที่นิยม กันในหมู่คนรุ่นใหม่ ) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็งไม่นุ่ม กำลังดีอย่างที่นอนใยมะพร้าว

การใช้ชีวิตที่ควรปรับเพิ่ม

1. พยายามอย่านั่งหลังงอ

2. อย่านั่งนานๆหรืออย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ

3. ดื่มน้ำอุณหภูมิปกติ(ไม่เย็น) หรือน้ำอุ่นได้จะยิ่งดี วันละ 8 แก้วอย่างน้อยโดยดื่มแบบค่อยๆจิบ อย่าดื่มคำโตหรือเอื้อกเดียวหมดแก้ว



ขอบตาดำ สัญญาณไตเสื่อม!!!/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ

ขอบตาดำ สัญญาณไตเสื่อม


มาดูว่ามันเกิดจากอะไรก่อนดีกว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าขอบตาดำเกิดจากนอนน้อยนอนดึกแต่จริงๆแล้วมีเรื่องซ่อนเร้นมากกว่านั้นครับ
ร่างกายของคนเราจะมีสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเสมอแต่น่าเสียดายที่คนเรา ไม่เข้าใจ หรือ ไม่รู้ว่าร่างกายต้องการบอกอะไรเรา คนที่ขอบตาดำพึงระวังไว้ครับว่าร่างกายกำลังเตือนเรา ว่าไตกำลังจะเสื่อม ! ไม่ต้องตกใจครับ ไม่ว่าอายุแค่ไหนหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน หรือ แก่ชราล้วนมีสิทธิไตเสื่อมด้วยกัน ทั้งนั้น ผมพูดถึงไตเสื่อมนะครับไม่ใช่โรคไต ตามที่เราเข้าใจกัน

ไตเป็นอวัยวะภายในที่ทำหน้าที่กรองของเสียในร่างกายซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆอย่างของไต หน้าที่อีกหลายอย่างของไตถ้ากล่าวถึงทั้งหมดเกรงจะยิ่งยาวจึงสรุปให้สั้นๆว่าไตนั้นเปรียบเหมือน GMหรือผจก.ของร่างกาย คนเราโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้ใช้ชีวิตกันในรูปแบบที่สุขภาพร่างกายจะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆโดยเฉพาะการทำร้ายไตของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะรับประทานอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไปหรืออาหารที่มีปัจจัยหยินหยางไม่สมดุลกับร่างกายตัว เอง (เค็มมาก มันมาก เผ็ดมาก ฟาสฟู้ด อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารอุตสาหกรรมต่างๆฯลฯ ) อีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้อง ทั้งนอนน้อยเกินไปนอนมากเกินไป นอนไม่เป็นเวลา ไม่ออกกำลังกาย(รวมถึงการออกกำลังที่ไม่เหมาะกับสภาวะของร่างกายตัวเอง) เครียดมาก กดดัน มาก รีบเร่งมาก ฯลฯ

คนในยุคปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะอยู่ในภาวะไตเสื่อมมากขึ้นและให้สังเกตสภาพร่างกายของตัวเองดังต่อ ไปนี้ครับ

1. มักจะอ่อนเพลียบ่อยขาดความกระตือรือร้น
2. นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่สนิท
3. ปัสสาวะบ่อย หรือกะปริดกะปรอย
4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืมขี้วิตกกังวล
7.หย่อนสมรรถภาพทางเพศหลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8.ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอกผมร่วงก่อนวัย

จริงๆมีเยอะกว่านี้นะครับ....เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน คือไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการ แบบนี้ทั้งหมดนะครับแต่โดยรวมแล้วมีปรากฎให้เห็นกับตัวเองและคนรอบข้าง


ทีนี้มาดูกันครับว่าอะไรบ้างที่ทำให้ไตเราเสื่อมกันนะครับ
1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล : ทำงานหนักเกินไปหามรุ่งหามค่ำ ไม่หลับไม่นอนหรือ เที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ
2. เพศสัมพันธ์ : การมีเพศสัมพันธ์มากเกินควรและการหลั่งน้ำอสุจิมากเกินควรทำให้ร่างกายเสีย พลังไปโดยเปล่าประโยชน์และไตจะอ่อนแอลง
3. การทานยารักษาใดๆเป็นระยะเวลานานหรือ ในปริมาณที่มากทั้งยาแก้ปวด ยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหาย แต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่

ยังมีอีกเยอะครับแต่ค่อนข้างจะลงรายละเอียดเยอะไปแล้วแค่นี้คงครอบคลุมแล้วล่ะมั้งครับ ลองพิจารณารูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองดูก่อนว่าเป็นอย่างไรและมีอาการตามที่ผมว่ามาหรือไม่ แล้วเรามาว่ากันต่อด้วยเรื่องการแก้ไข

การแก้ไข
ง่ายสุดครับคือปรับพฤติกรรมของตัวเอง ทั้งการนอน การกิน การอยู่ ผมให้Tip ง่ายๆเลยนะครับหนึ่งวันมี 24 ชม. ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยวพักผ่อน ดูทีวี สันทนาการออกกำลังกาย) นอน 8 ชั่วโมง เป็นไงล่ะครับทำยากใช่มั้ยครับผมถึงบอกไงว่าคนยุคปัจจุบันนี้ไตเสื่อมกันเยอะและจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นอีกเยอะมากๆในไม่เกิน 10 ปีนี้ หมอจะกำไรมากขึ้นจากการรักษาคนป่วยแต่คนป่วยจะไตพังกันมากขึ้นจากการกินยา แล้วก็จะวกมาให้ หมอรักษาไตอีก (- _- " ) เพราะฉะนั้นเราจึงควรพิจารณาตัวเองและตัดสินใจเองครับว่าจะบริหารจัดการกับชีวิตตนเอง อย่างไร ที่ไม่เสียงาน และยังมีรายได้ และไม่เสียสุขภาพ ขอให้โชคดีนะครับ



นอกจากนี้ผมมีข้อแนะนำสำหรับคุณอีกดังนี้ครับ
1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดีแต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุลจึงไม่แนะนำให้เล่นต่อเพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้นอยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ชำนาญซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ (ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับจะเสียมากกว่าได้ ) การฝึกโยคะไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยความงามแต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายใน ต่างๆของร่างกายและช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ได้ดีมากแต่ต้องฝึกอย่างมีวินัยและมีสมาธิ นอกจากนี้หากมีโอกาสอยากให้ฝึกชี่กงควบคู่ไปด้วยจะเห็นผลดี และเร็วยิ่งขึ้น หากรู้สึกว่ายากหรือห่างตัวเกินไปสำหรับคุณ ก็ให้เลือกการว่ายน้ำโดยว่ายอย่างเบาๆแต่ต่อเนื่องในเวลาที่พอสมควร(รู้สึกเหนื่อยเมื่อไรให้หยุดพักห้ามฝืนต่อ) ว่ายเบาๆ อย่าจ้ำพรืด..จ้ำพรืด..(คุณไม่ได้ไปแข่งกับใครคุณกำลังบำบัดตัวเอง)

2. ปรับอาหาร งดเนื้อสัตว์ย่อยยากอย่างวัว หมู ไก่ เป็ด แกะของเผ็ด ของเย็น (ไอสครีม น้ำ แข็ง ) ของมัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสดที่ปรุงน้อย(เช่นสลัด)มากขึ้นทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพดดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ห้ามดื่มน้ำเย็น)และงดเครื่องดื่มของมึนเมาน้ำอัดลม นม น้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว บรรจุขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง)

3. อยู่ห้องแอร์ให้น้อยลงอยู่หน้าจอคอมฯจอโทรทัศน์ให้น้อยลงหาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น(เดินเท้าเปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก)

อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกายของเราไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม หรือความรู้สึกก็ดี ล้วนมีส่วนสัมพันธ์กับอวัยวะไต ไตนั้นเปรียบเสมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของมนุษย์เป็นเหมือนผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาลแต่ก็เปราะบางยิ่งนักและง่ายต่อการแตกร้าว วิธีการดูแลรักษาไม่ยากเลยสำหรับคนในยุคสมัยก่อนแต่ยากยิ่ง สำหรับคนยุคสมัยนี้ นั่นคือ"คล้อยตามธรรมชาติ"

คนสมัยก่อน ตื่นเช้านอนแต่หัวค่ำทานอาหารที่สดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมดื่มน้ำบริสุทธิ์ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ ในขณะที่คนยุคปัจจุบันนอนดึกเป็นกิจวัตร(ทำงาน,ดูบอล,ดูโทรทัศน์,เที่ยวกลางคืน)ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลม พึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินความจำเป็น ฯลฯ



อาการไตเสื่อมจะเกิดใน 2 ลักษณะ แยกเป็น ไตหยิน กับไตหยาง
อาการไตหยาง หรือไตหดตัวแน่น นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย อสุจิเคลื่อนตอนนอน เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ โดยมีสาเหตุมาจาก
1.ทานอาหารรสเค็มจัด หรือเนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือพวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อย
2. ระบบการทำงาน หรือการใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ
3.การนั่งทำงานหรือนั่งรถนาน

ส่วนอีกลักษณะคือ ไตหยินหรือ ไตคลาย เฉื่อยชา เกียจคร้าน ความต้องการทางเพศต่ำลง ปวดเมื่อหลัง เอว ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน นอนตื่นสาย ไม่อยากตื่น อารมณ์อ่อนไหวง่าย ขี้หูมาก เหงื่อออกเยอะผิดปกติ
ตามปกติแล้ว ในเวลากลางคืนไต ซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำหรือ "หยิน"จะทำงานมากกว่าเวลากลางวัน (สังเกตว่าเวลาตื่นเช้า เราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับแรก) ดังนั้นเมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย"หยิน"ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิด เช่นขี้เกียจ อยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียว ขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น) ฉะนั้น ถ้าใครที่ใกล้ตัวหรือ พนักงานของใครที่ขี้เกียจ ก็อย่าไปดุด่าโทษเขา แต่ควรพูดคุย สอบ ถามวิธีการใช้ชีวิตแล้วแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการนอน การใช้ชีวิตจะได้บุญครับ ^ ^

การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่มปัจจัยหยินได้แก่
- การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัยรวมทั้ง น้ำแข็ง ไอสกรีมหวานเย็น และอาหารลักษณะนี้
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
- การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
- การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวันควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้างหรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต (ควรเป็นผ้าธรรมชาติ เช่นคอตตอน ) และหาโอกาสออกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง สำหรับคนที่นอนห้องแอร์ควรสวมเสื้อผ้าห่มผ้าให้อบอุ่น
- การนั่งรถนานๆโดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น
- นอนไม่เป็นเวลาทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อยหรือ นอนผิดเวลา สำหรับคนที่นอน และทำงานผิดเวลา ตามหลักวงจรธรรมชาตินั้นเวลากลางวัน คือ ยามสำหรับทำงาน เรียนหนังสือ ส่วนกลางคืน คือ ยามสำหรับพักผ่อน นอนหลับ (หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง)การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้นจะส่งผลถึงสุข ภาพร่างกายและจิตใจอย่างแน่นอนแม้ในปัจจุบันนี้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่นั่นเพราะ ตัวคุณมี "ทุน"ที่ยังค้ำยันอยู่แต่เมื่อใดที่ทุนนั้นพร่องลงไปเรื่อยๆ เพราะการใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัยหยินเช่นนี้อยู่

อาหารที่ควรเลือกรับประทานเป็นหลัก ได้แก่
1. ข้าวกล้อง
2. สาหร่ายทะเล
3. ถั่วแดง ผักสดผลไม้รสไม่หวานและ น้ำน้อย
4. เต้าเจี้ยว หลีกเลี่ยง

การใช้ชีวิตดังนี้
1. การสวมใส่รองเท้าส้นสูง
2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็งหรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ(เก้าอี้ หรือ เตียงดีไซน์เก๋ๆ ที่นิยม กันในหมู่คนรุ่นใหม่ ) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็งไม่นุ่ม กำลังดีอย่างที่นอนใยมะพร้าว

การใช้ชีวิตที่ควรปรับเพิ่ม
1. พยายามอย่านั่งหลังงอ
2. อย่านั่งนานๆหรืออย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ
3. ดื่มน้ำอุณหภูมิปกติ(ไม่เย็น) หรือน้ำอุ่นได้จะยิ่งดี วันละ 8 แก้วอย่างน้อยโดยดื่มแบบค่อยๆจิบ อย่าดื่มคำโตหรือเอื้อกเดียวหมดแก้ว

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรื่องดีๆ เมื่อถึงวัย 40/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ





เรื่องดีๆ เมื่อถึงวัย 40

สาวๆ ทุกคนกลัวเมื่อเลข 3 เลข 4 มาเยือน โดยเฉพาะ ถ้าเลข 4 มาถึงก็จะจิตใจหดหู่ เศร้าหมอง เข้าสู่วัยกลางคนอย่างอัตโนมัติ และยังมีอาการต่างๆ ที่บ่งบอกเป้นนัยๆ ว่าจะเข้าสู่วัยทองอีกตะหาก แต่จริงๆ แล้วก้ยังมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับผู้หญิงเรามากมายในช่วงวัยนี้นะคะ

ผู้หญิงส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในช่วงวัยนี้ และนอกจากนี้วัยนี้มีประสบการณ์ที่สั่งสมมานานทำให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง บางคนอยากที่จะเปลี่ยนตัวเอง ค้นหาความจริง ความหมายของชีวิต และคุณค่าของสิ่งต่างๆ การเข้าสู่วัยนี้จึงเป็นช่วงที่มีความหมายอย่างมาก ตื่นเต้นท้าทายเหมือนเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้สาววัย 40 เป็นผู้ที่ฉลาดรอบรู้ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้านหรือผู้บริหารก็ตามหรืออย่างน้อยๆ ชั้นก็เป็นคนที่

- รู้คุณค่าของชีวิต เราจะรักและดูแลตัวเองมากขึ้น

- รู้ว่าตัวเองมีคุณค่า มีข้อดีข้อเสียตรงไหน

- เป็นผู้ใหญ่ที่เคยพึ่งพาพ่อแม่ มาให้พ่อแม่พึ่งพาบ้าง

- เป็นอิสระ และมั่นคง พึ่งพาตัวเองได้

- เป็นหลักเป็นฐาน มีหลักทรัพย์เป็นของตัวเอง

- รู้จักใช้เงิน รู้คุณค่าของเงิน ฉลาดใช้เงิน

- เป็นนักจัดการมืออาชีพ เพราะไหนจะเร่องลูกๆ ที่บ้านแล้วยังต้องจัดการเรื่องงานนอกบ้านอีกสาระพัด

- เข้มแข็งอดทนกับปัญหาต่างๆ

- รู้เท่าทันโลกมากขึ้น ฉลาดขึ้น

เพียงเท่านี้คุณก็รู้สึกดีกับเลข 4 ได้แล้วนะคะ


เตือนภัยอันตรายจากแปรงสีฟันเก่า บ่อเกิดโรคร้ายคาดไม่ถึง





เตือนภัยอันตรายจากแปรงสีฟันเก่า บ่อเกิดโรคร้ายคาดไม่ถึง

หากใช้นานเกินไปหรือเก็บรักษาไม่ถูกสุขลักษณะ แปรงสีฟันอาจกลายเป็นพาหะของโรคร้ายโดยที่คนใช้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เดลิเมล์- ผู้เชี่ยวชาญเตือนแทนที่จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง แต่แปรงสีฟันอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้มากกว่าที่คิด

โดย ผู้จัดการออนไลน์

ในหนังสือเล่มใหม่ 'เหตุใดแปรงสีฟันจึงอาจฆ่าคุณได้?'

เจมส์ ซอง นักเคมีจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ ระบุว่าแปรงสีฟันที่ใช้งานนานเกินไป ถือเป็นหนึ่งในวัตถุอันตรายในครัวเรือน และว่าปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขข้อ และการติดเชื้อเรื้อรัง อาจเกี่ยวพันกับแปรงสีฟันที่ไม่ถูกสุขอนามัย

ตามทฤษฎีของซองนั้น ดูเหมือนแบคทีเรียจำนวนมากจะซุกซ่อนอยู่ในแปรงสีฟัน และแบคทีเรียเหล่านี้เดินทางเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ใช้โดยตรงผ่านรอยแผลเล็กๆ ที่เหงือก แบคทีเรียเหล่านี้บางส่วนเกี่ยวข้องกับการอุดตันของเส้นเลือด

แนวคิดนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ผลการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ พบว่าแปรงสีฟันทั่วๆ ไปเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรคประมาณ 10 ล้านตัว ซึ่งรวมถึงแบคทีเรียอันตรายอย่าง staphylococci, streptococcus, E. coli และ candida

ขณะเดียวกัน สมาคมทันตกรรมแห่งอังกฤษ (บีดีเอ) สำทับว่าอันตรายยิ่งร้ายแรงขึ้นหากมีการใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น

ดร. ทาเร็ก ไอดริส ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมตกแต่งจากฮาร์เลย์ สตรีท ขานรับว่ามีการตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ, บี และซีในแปรงสีฟัน และสปอร์ของไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่รอดได้นานหลายเดือน นอกจากนั้น แปรงสีฟันเปียกชื้นยังเป็นแหล่งกบดานสมบูรณ์แบบของแบคทีเรียร้ายหลายชนิด

"เกือบจะเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างมากที่แปรงสีฟันถือเป็นวัตถุอันตรายในบ้าน เราไม่ควรทิ้งแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำแล้วใช้แล้วใช้อีกโดยไม่ล้างให้สะอาดเสียก่อน" ไอดริสเสริม

นอกจากนั้น หลายคนยังทิ้งแปรงสีฟันไว้ในแก้วเดียวกับคนอื่น ซึ่งอาจทำให้เชื้อโรคติดต่อถึงกันหากแปรงสีฟันสัมผัสกัน

ความเสี่ยงที่แบคทีเรียในช่องปากจะเข้าสู่กระแสเลือดถูกตอกย้ำจากงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเชื้อแบคทีเรีย porphy-romonas gingivalis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปริทันต์ ปรากฏอยู่ในเส้นเลือดที่อุดตันรุนแรง

การศึกษาของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ ระบุว่าแบคทีเรียในช่องปากของอาสาสมัครที่เป็นโรคหัวใจ ไปปรากฏอยู่ในหลอดเลือดหัวใจเช่นเดียวกัน แบคทีเรียนี้ยังเกี่ยวข้องกับการคลอดก่อนกำหนด และการที่ทารกมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ

ไอดริสเสริมว่า การสะสมของแบคทีเรียร้ายในระบบเลือด อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเขาเชื่อว่า ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เราอาจต้องฆ่าเชื้อแปรงสีฟันกันเป็นประจำ หรือใช้แปรงสีฟันแบบใช้แล้วทิ้ง

ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน ไม่ควรใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น ขอคำแนะนำเรื่องการแปรงฟันจากทันตแพทย์ งดใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็ง เนื่องจากจะทำให้เหงือกเป็นแผล และกลายเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด และหาปลอกใส่แปรงสีฟันหากต้องเก็บไว้ในห้องน้ำ เป็นต้น


การเลือกใช้เครื่องสำอางค์ไม่ให้แพ้/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ




การเลือกใช้เครื่องสำอางค์ไม่ให้แพ้

หน้าของเรา เราก็ต้องรักเป็นธรรมดานะคะ อย่าเอาหน้าของเรามาทดลองใช้เครื่องสำอางค์ที่เราไม่รู้ว่าจะทำอันตรายกับหน้าเรารึเปล่า ก่อนจะเลือกใช้เครื่องสำอางค์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม เราควรแน่ใจว่ามันจะไม่ทำความระคายเคืองให้กับผิวหน้าเรา หรือไม่แพ้แน่ๆ ค่ะ เราจึงจะใช้มันนะคะ

ทีนี้เรามารู้จักกับอาการแพ้เครื่องสำอางค์กันก่อนค่ะ

อาการที่มักจะเป็นกันก็คือเป็นผื่น ซึ่งมีหลายแบบ ตั้งแต่ผิวหน้งอักเสบ ผื่นแดงคัน ถ้ารุนแรงก็จะเป็นตุ่มน้ำใสๆ มีน้ำเหลือง อีกอาการหนึ่งก็จะเป็นตุ่มคล้ายๆ หัวสิว จะรู้สึกเจ็บๆ คันๆ แดงหรืออาจะลอกเป็นขุยๆ เมื่อโดนน้ำหรือเหงื่อก็จะแสบ อาการแพ้ต่างๆ เหล่านี้บางคนอาจจะไม่แสดงทันที อาจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ บางคนใช้หมดไป 1 ขวด เริ่มใช้ขวดที่ 2 จึงเริ่มมีอาการก็มี

ทีนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราแพ้

หากเราไปหาหมอ คุณหมอจให้ทดสอบด้วยการทำ patch test โดยนำเครื่องสำอางค์ชนิดนั้นมาปิดไว้ที่แผ่นหลังของเรา ห้ามถูกน้ำ และอย่าให้เหงื่อออกมาก จนครบ 48 ชั่วโมง หากมีผื่นแดง คัน หรือมีตุ่มน้ำขึ้นมาก็แสดงว่าแพ้เครื่องสำอางค์นั้น จากนั้นจะดูผลต่อไปอีกเมื่อครบ 96 ชั่วโมง เพื่อดูปฏิกิริยาการแพ้ซึ่งอาจเกิดช้า หากเราทดลองเอง เบื้องต้นนั้นก็สามารถทำได้โดยให้เอาตัวย่างมาลองทาที่ท้องแขนก่อน 2 สัปดาห์ เพื่อดูปฏิกิริยาว่ามีเกิดอาการอะไรหรือไม่ แลไม่ควรทดสอบทีเดียวหลายๆ ตัวเพราะจะไม่รู้ว่าแพ้ตัวไหน

เมื่อมีอาการแพ้แล้ว จะต้องหยุดเครื่องสำอางค์ทุกชนิดทั้งที่สงสัยและไม่สงสัย เพราะเครื่องสำอางค์ที่ใช้อยู่แล้วอาจเป็นตัวการทำให้แพ้ได้ค่ะ ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ถ้ามีอาการลอกหรือแสบก็ให้ทาครีมได้เล็กน้อยเพื่อความชุ่มชื้น แต่ต้องแน่ใจว่าเราไม่แพ้ครีมที่ทานั้น แล้วทาแป้งฝุ่นทับเล็กน้ยถ้าออกจากบ้าน หาก 2-3 วันอาการยังไม่ดีขึ้นควรไปหาหมอค่ะ

การเลือกซื้อเครื่องสำอางค์

เราไม่ควรเลือกซื้อตามเพื่อน และไม่ควรซื้อตามคำโฆษณาหรือของแถมใดๆ ค่ะ เราควรดูก่อนว่าจะซื้อเพื่อจุดประสงค์อะไร และควรจะซื้อตามลักษณะผิวของเรา โดยเฉพาะคนที่ผิวแพ้ง่าย ไม่ควรเปลี่ยนเครื่องสำอางค์บ่อย ควรใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าที่อ่อนๆ มีผองน้อย ทาครีมที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม หากไม่แน่ใจให้เอาตัวย่างมาลองทาที่ท้องแขนก่อน 2 สัปดาห์ และอย่าลืมดูวันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุด้วยค่ะ ที่สำคัญอย่าซื้อมาตุนไว้หลายๆ ขวดในช่วงลดราคานะคะ เพราะหากเครื่องสำอางค์หมดายุไปก่อนก็จะไม่คุ้มกันค่ะ


เตือนภัยจาก “ตะเกียบไม้”/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ



เดี๋ยวนี้เวลาหิวทีไร มองไปตามสองข้างทาง เรามักเห็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวปรากฏเป็นระยะ ๆ การฝากท้องไว้กับร้านก๋วยเตี๋ยวจึงเป็นอะไรที่ง่ายดายมาก ๆ แต่ช้าก่อน...อย่าเพิ่งนึกถึงแต่ความสะดวกสบายเพียงอย่างเดียว เพราะเบื้องหลังชามก๋วยเตี๋ยวที่แสนอร่อย นั้น เราอาจนึกไม่ถึงว่ามันจะมีพิษภัยซ่อนเร้นเอาไว้ โดยที่ไม่ทันได้ฉุกใจคิดสักนิดเดียว...

พิษภัยที่แฝงมากับตะเกียบ


อุปกรณ์หนึ่งในการกินก๋วยเตี๋ยวที่จะขาดเสียไม่ได้เลยก็คือ ตะเกียบโดยส่วนใหญ่ที่ผลิตออกมาขาย หรือใช้กันอยู่ทุกวันนี้ทำจากวัสดุหลัก 2 ชนิด ได้แก่





1. พลาสติก เป็นการนำเอาพลาสติกมาทำให้มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับตะเกียบไม้ มีหลายสี ทั้งสีอ่อนคล้ายงาช้าง สีชมพู จนถึงสีแดง ตะเกียบพลาสติกที่มีสีไม่เหมาะที่จะใช้กับอาหารที่ร้อนมาก ๆ หรืออาหารที่เป็นกรด เพราะทำให้สีและองค์ประกอบของพลาสติกเสื่อมจนละลายออกปะปนกับอาหาร

2. ไม้ที่นิยมนำมาใช้ทำตะเกียบคือ ไม้ไผ่และไม้โมกข์ เนื่องจากมีสีขาว เนื้อละเอียด ไม่ทำให้อาหารมี สี กลิ่น รส ผิดเพี้ยนไป ส่วนใหญ่ไม่นิยมเคลือบหรือทาสีใด ๆ อย่างไรก็ตาม มีผู้ผลิตบางรายที่เคลือบตะเกียบด้วยสีน้ำมัน เช่น สีแดงสลับดำ จึงไม่เหมาะที่จะใช้คีบอาหารที่ยังร้อนอยู่ อาหารที่มีน้ำมันมาก รวมถึงอาหารที่เป็นกรด เพราะสีที่เคลือบไว้จะละลายลงไปในอาหาร ซึ่งสีที่ใช้เคลือบนี้มีสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว เจือปนอยู่ เมื่อใช้ไปนาน ๆ สีจะหลุดร่อนกะเทาะออกมาปนอยู่ในอาหารเข้าสู่ร่างกายของเรา จนเกิดการสะสมในร่างกายปริมาณมาก

นอกจากนั้นแล้วผู้ประกอบการร้านอาหาร ส่วนใหญ่ยังนิยมใช้ตะเกียบอนามัยชนิดใช้แล้วทิ้ง ฟังชื่อแล้วทำให้มั่นใจว่าจะได้ตะเกียบที่สะอาด ปลอดภัย แต่แท้จริงแล้วตะเกียบชนิดนี้เป็นที่สะสมของสารเคมีอันตรายหลายชนิด โดยเฉพาะ สารฟอกขาวซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ใช้แช่ถั่วงอก ที่มีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบ เมื่อสารชนิดนี้ถูกน้ำร้อนหรือของที่มีอุณหภูมิสูงจะเปลี่ยนเป็นสารซัลฟูริก ชนิดเดียวกับที่ใช้ในแบตเตอรี่รถยนต์ เมื่อเราใช้ตะเกียบที่มีสารฟอกขาว ในอาหารที่ร้อนจัด เช่น สุกี้ หม้อไฟ หมูกระทะ เป็นต้น จะทำให้สารดังกล่าวละลายออกมาจากตะเกียบปะปนในอาหาร

ในรายที่แพ้ง่ายหรือเป็นโรคหอบหืดจะมีอาการแสดงทันทีที่ได้รับสารนี้เข้าไป ส่วนในคนที่ร่างกายแข็งแรงจะยังไม่แสดงอาการ แต่จะค่อย ๆ สะสมในร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง จึงมีโอกาสเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าปกติ เพราะร่างกายไม่มีภูมิต้านทาน หากได้รับสารสะสมนานเข้าอาจกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็ง

ตะเกียบใช้แล้วทิ้งกว่าจะถึงมือผู้บริโภค

เรารู้หรือไม่ว่า ตะเกียบไม้ใช้แล้วทิ้งที่แสนจะสะดวกสบายนั้น มีกรรมวิธีการผลิตรวมถึงการขนส่ง ที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัย เริ่มตั้งแต่วิธี การผลิตตะเกียบไม้จากท่อนไม้เล็ก ๆ ให้เป็นตะเกียบ แล้วผ่านการฟอกขาวด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เมื่อตากให้แห้งแล้วจึงทำการขนส่งทางเรือข้ามน้ำ ข้ามทะเล (ในกรณีที่ผลิตจากต่างประเทศ) ไปส่งยังผู้ค้า ในระหว่างนี้ตะเกียบที่เก็บ ไว้อาจโดนทั้งหนูและแมลงสาบแทะ เมื่อถึงมือผู้ค้าแล้วจะนำมาห่อใหม่โดยไม่ได้ฆ่าเชื้อ เราจึงมีโอกาสได้รับทั้งเชื้อโรคและสารตกค้างที่ติดอยู่ในรูพรุนของเนื้อไม้ ไปจนถึงเวลาใช้ ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการท้องเสียและหอบหืด






เพื่อความปลอดภัยเมื่อต้องใช้ตะเกียบ

วิธีการที่ช่วยให้เราเลี่ยงจากพิษภัยของสารเคมีในตะเกียบ เมื่อต้องใช้ตะเกียบกินของร้อน ๆ สามารถป้องกันได้ด้วยการนำตะเกียบไปแช่ในน้ำร้อนก่อนประมาณ 3-4 นาที แล้วเทน้ำทิ้งไป จึงค่อยนำตะเกียบ มาใช้ แต่ในความเป็นจริงการแช่ตะเกียบตามร้านอาหาร หรือร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางค่อนข้างยุ่งยาก และคนขาย ไม่อยากทำให้ ทางที่ดีคือ เราอาจนำตะเกียบส่วนตัวไป ใช้เอง หรือทำความสะอาดตะเกียบให้เรียบร้อยก่อนนำมาใช้ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อมูลน่ารู้

นักเรียนในญี่ปุ่นทดลองนำน้ำที่แช่ตะเกียบ 7 วัน และมีกลิ่นเหม็นมาเพาะถั่วเขียว ผลปรากฏว่า ถั่วเขียวโตช้ากว่าปกติ และหยุดโตเมื่อต้นสูงได้ประมาณ 5-6 เซนติเมตร และตายลงในที่สุด
จากการทดสอบควันที่ได้จากการเผาตะเกียบพบว่ามีฤทธิ์เป็นกรด
เฉพาะในไต้หวัน แต่ละปีมีการใช้ตะเกียบ กว่า 1,000 ล้านคู่ นั่นหมายความว่า ต้นไม้ 29 ล้านต้น ต้องถูกตัดโค่นลง
เมื่อรวมปริมาณการใช้ตะเกียบทั่วทั้งโลก ต้นไม้กี่ล้านต้นที่จะถูกตัดโค่นลงเพื่อนำมาทำตะเกียบ ?


8 วิธีดูแลสุขภาพรับมือกับหน้าร้อน/





8 วิธีดูแลสุขภาพรับมือกับหน้าร้อน

เข้าสู่ฤดูร้อนอีกแล้ว หน้าร้อนทีไร เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวปวดท้อง ท้องเสียบ้างล่ะ แล้ว เราจะมีวิธีดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอย่างไรบ้าง? ไม่ต้องมานั่งคิดให้ปวดหัวแล้วนะคะ เพราะว่าวันนี้ เรามี 8 วิธี ดูแลสุขภาพในฤดูร้อนมาฝากคุณ

1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยให้คุณเจ็บป่วยน้อยลง

2. ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก และควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถรับประทานได้

3.ไม่ควรนอนให้ลม หรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตาก ลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส หรืออาจทำให้เป็นไข้หวัดได้

4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ

5. ควรเลือกทานอาหารอ่อนๆ ตอนเช้า เช่น ข้าวต้ม เพราะในช่วงเช้ายังไม่ควรทานอาหารที่หนัก ๆ แค่ทานผักผลไม้เยอะ ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารทอดๆ มัน ๆ แห้ง ๆ

6. ควรดูแลสุขภาพของเด็กๆ โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการดำเนินชีวิต

7. สำหรับหญิงตั้งครรภ์ สิ่งที่ควรปฏิบัติในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นไข้หวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัด หรือเย็นจัด

8. บุคคล 3 ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คือ คนสูงอายุ ผู้ที่มีระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี คนที่มีม้ามพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด หรือถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น

แล้วฤดูร้อนจะเป็นฤดูกาลที่มีความสุข.. ถ้าคุณดูแลสุขภาพ


วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์/ สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจเกิดอาการตาแห้ง สายตาล้า ดังนั้น เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ให้ดีไปนานๆ สัปดาห์นี้ 'Edutainment Zone' ชวนมาถนอมดวงตากัน

1.เริ่มจาก 'จอภาพ' ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และตั้งกับโต๊ะที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป หากระยะห่างระหว่างจอกับตาไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้รู้สึกเมื่อยล้าและปวดตาได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และหลังเกร็ง เนื่องจากท่านั่งไม่สมดุล และต้องก้ม-เงย เป็นเวลานาน

2.ปรับแสงหน้าจอคอมฯ ให้รู้สึกสบายตา โดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา นอกจากนี้ อาจติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง

3.คลายความล้า โดยหยุดพักทุก 30 นาที มองไปไกล ๆ หรือหลับตาประมาณ 5 นาที จากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้คอมฯ เป็นเวลานาน

4.หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตา หรือหาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี



ลองไปปรับใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดกันดู เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้ใสปิ๊ง และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพให้นานที่สุด.

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์/ สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจเกิดอาการตาแห้ง สายตาล้า ดังนั้น เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ให้ดีไปนานๆ สัปดาห์นี้ 'Edutainment Zone' ชวนมาถนอมดวงตากัน

1.เริ่มจาก 'จอภาพ' ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และตั้งกับโต๊ะที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป หากระยะห่างระหว่างจอกับตาไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้รู้สึกเมื่อยล้าและปวดตาได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และหลังเกร็ง เนื่องจากท่านั่งไม่สมดุล และต้องก้ม-เงย เป็นเวลานาน

2.ปรับแสงหน้าจอคอมฯ ให้รู้สึกสบายตา โดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา นอกจากนี้ อาจติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง

3.คลายความล้า โดยหยุดพักทุก 30 นาที มองไปไกล ๆ หรือหลับตาประมาณ 5 นาที จากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้คอมฯ เป็นเวลานาน

4.หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตา หรือหาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี



ลองไปปรับใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดกันดู เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้ใสปิ๊ง และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพให้นานที่สุด.

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ

อากาศร้อน และแดดแรง อย่างประเทศไทย ครีมกันแดดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิว เมื่อต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเองมองดูฉลากข้างกล่องแล้วก็มีศัพท์ที่น่าสนใจ ให้เราต้องเลือกดังนี้

1. "SPF" ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าในการชี้วัดว่าเราสามารถอยู่กลางแสงแดดได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่รู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณผิว เช่นถ้าเรามีผิวที่แพ้แสงแดดและแสบร้อนง่ายในเวลา 20 นาที ครีมกันแดดที่มี SPF 15จะช่วยปกป้องเราจากแสงแดดได้นาน 15 เท่า และเมื่ออยู่กลางแดดมากๆ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น

2. "Waterproof" แม้จะเขียนว่า Waterproof (กันน้ำ) แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลต้องทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง โดยทาซ้ำทุกครั้งที่เหงื่อออก หรือทุกครั้งในช่วงพักว่ายน้ำ

3. "UVA และ UVB" ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVA หมายถึง ครีมกันแดดนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันกระ ฝ้า และป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย แต่ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVB หมายถึง ครีมกันแดดนั้นมีคุณสมบัติ ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบและไหม้ของผิวหนัง



หวังว่า..จะเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับตัวเองได้ดีขึ้นส่วนเทคนิคในการใช้งานครีมกันแดดที่ต้องจำไว้ให้แม่นๆก็คือ ครีมกันแดด ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100%

ดังนั้น เมื่อต้องออกแดด เช่น เล่นกีฬากลางแจ้ง ควรสวมแว่นกันแดด หรือหมวกกันแดดจะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนการทาผิวควรเกลี่ยครีมให้เรียบเสมอ และทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการปกป้องจากแดด เพื่อป้องกันผิวด่างดำเฉพาะที่ และเลิกใช้ทันที ถ้ามีอาการแพ้ มีผื่นแดง และคัน

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาหารต้านความจำเสื่อมได้/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ


อาหารต้านความจำเสื่อมได้

สิ่งที่น่ากังวลอย่างหนึ่งสำหรับ คนทำงาน นั่นคือ จู่ๆ เกิดความจำเสื่อมขึ้นมา จะทำยังไงดี

แต่รู้กันหรือไม่ว่า อาหารนี่แหละ...ต้านความจำเสื่อมได้ เพราะอาหารมีผลอย่างมากต่อสมาธิ ความคิด ความจำของคนเรา การทำงานของระบบสมองและการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ขึ้นอยู่กับสารอาหารที่มาหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ การขาดสารอาหารที่สมองต้องการย่อมมีผลต่อการเสื่อมของสมองอย่างแน่นอน

สารสื่อสมองที่สำคัญตัวหนึ่ง คือ อะซิทิลโคลีน ซึ่งช่วยเพิ่มความจำ ควบคุมการทำงานของหัวใจ กล้ามเนื้อ การหายใจ นอนหลับ ตื่นตัวอะซิทิลโคลีนสร้างจากสารโคลีน หรือเลซิทิน ร่างกายเราสามารถสร้างโคลีนได้ แต่บางทีก็ไม่เพียงพอต่อการทำงาน ซึ่งหากขาดสารโคลีน อาจจะเร่งให้เราความจำเสื่อมเร็วขึ้น

ผู้หญิงต้องการโคลีนอย่างน้อยวันละ 425 มิลลิกรัม ผู้ชายต้องการ 550 มิลลิกรัม และ คนสูงวัยต้องการ 1,500 มิลลิกรัมอาหารที่มีโคลีนสูง ก็พวกไข่ ตับไก่ หมู ถั่วเหลือง เป็นต้น

หากเราต้องการเสริมความจำ เพื่อกันไม่ให้สมองเสื่อม ก็ต้องปรับพฤติกรรมการกิน การไม่กินเหมือนกัน เช่นว่า...




กินอาหารเช้าทุกวันอย่าได้ขาด โดยขอให้มีผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และอาหารที่มีโปรตีนสูงรวมอยู่ด้ว

กินทุก 3-4 ชั่วโมง และควรกินคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี เช่น ธัญพืช หรือผักที่มีแป้ง จำพวกลูกเดือย เผือก มันด้วย

กินอาหารมื้อเล็กๆ เลี่ยงอาหารไขมันสูง

กินอาหารตามหมวด แป้ง หรือธัญพืชไม่ขัดสีอย่างน้อยวันละ 6 ส่วน ผักผลไม้วันละ 8-10 ส่วน โดยมีผักใบเขียวอย่างน้อย 2 ส่วน อาหารที่มีแคลเซียมสูง 3 ส่วน จะเป็นนมพร่องไขมัน หรือนมเสริมแคลเซียมก็ได้ กินถั่วต่างๆ มีปลา 2 มื้อ และอาหารที่มีโคลีนสูง เช่น ถั่วเหลืองเสริมวิตามินบีรวม วิตามินซี และวิตามินอีเพิ่มเติมเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารนิโคติน

เลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนสารปรอท ตะกั่ว และโลหะอื่นๆ



การกินและการไม่กินอาหารเหล่านี้จะช่วยให้สมองของเราเสื่อมถอยช้าลงแต่ถ้าอยากจะเข้าใจเรื่องการต้านความเสื่อมต่างๆ ของร่างกายอย่างรอบด้าน ต้องหาหนังสือ?อาหารต้านวัย ต้านโรค? ของศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหาร ขึ้นทะเบียนวิชาชีพจากอเมริกา มาอ่านกัน จะพบว่าอาหารสามารถต้านวัยต้านโรคได้หลากหลายเชียวล่ะ


วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หูอื้อ _ ทำไงดี / สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ / yayakung

หูอื้อ _ ทำไงดี

เคยมั้ยที่การได้ยินของหูลดลง พูดง่ายๆ ก็คือ หูอื้อหรือหูตึงนั่นเอง ปัญหานี้นอกจากเจ้าตัวจะวิตกแล้ว คนรอบข้างก็พลอยมีท่าทีเปลี่ยนไป

ภาวะหูอื้อ หรือหูตึง เป็นภาวะที่ความสามารถในการรับเสียงเสื่อมลง ซึ่งอาจจะค่อยเป็นค่อยไป หรือเกิดขึ้นทันทีทันใดก็ได้ มีการให้ค่าระดับความรุนแรงของการลดการได้ยิน ดังนี้





หลายคนถึงกับสงสัยว่า แล้วหูรับเสียงได้อย่างไร

ปกติคนเราสามารถรับเสียง โดยอาศัยกลไก 2 ส่วน คือ

1.
ส่วนนำเสียงและขยายเสียง ได้แก่ หูชั้นนอกและหูชั้นกลาง โดยคลื่นเสียงจากภายนอกผ่านเข้าไปในช่องหูกระทบแก้วหู แล้วมีการส่งต่อ และขยายเสียงไปยังส่วนของหูชั้นในต่อไป ถ้ามีความผิดปกติจนเกิดภาวะหูตึงขึ้น สาเหตุมักเกิดจาก

-
หูชั้นนอก เช่น ขี้หูอุดตัน เยื่อแก้วหูทะลุ หูชั้นนอกอักเสบ หรือมีเนื้องอกที่หูชั้นนอก
-
หูชั้นกลาง เช่น หูชั้นกลางอักเสบ น้ำขังอยู่ในหูชั้นกลาง (otitis media with effusion) ท่อยูสเตเชียน (ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงหลังจมูก) ทำงานผิดปกติ หรือเกิดหินปูนขึ้นในหูชั้นกลาง (otosclerosis)

2.
ส่วนประสาทรับเสียง ได้แก่ ส่วนของหูชั้นในไปจนถึงสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่เรารับรู้และเข้าใจเสียงต่างๆ ความผิดปกติบริเวณนี้ ส่วนใหญ่ทำให้เกิดภาวะหูตึง หูหนวกถาวร และบางโรคทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ สาเหตุมักเกิดจาก

-
หูชั้นใน ที่พบบ่อยสุด คือ ประสาทหูเสื่อมจากอายุ นอกจากนั้น การเสื่อมของเส้นประสาทหู อาจเกิดจากการได้รับเสียงที่ดังมากๆ ในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน (acoustic trauma) เช่น ได้ยินเสียงปืน เสียงระเบิด เสียงประทัด หรือการได้รับเสียงที่ดังปานกลางในระยะเวลานานๆ ทำให้ประสาทหูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป (noise-induced hearing loss) อย่างเช่นการอยู่ในโรงงาน หรืออยู่ในคอนเสิร์ตที่มีเสียงดังมากๆ การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู (ototoxic drug) เป็นระยะเวลานาน เช่น salicylate, aminoglycoside, quinine, aspirin นอกจากนี้อาจเกิดจากการบาดเจ็บของกะโหลกศีรษะแล้วมีผลกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน (labyrinthine concussion) การติดเชื้อของหูชั้นใน (labyrinthitis) เช่น จากซิฟิลิสหรือไวรัสเอดส์ การผ่าตัดหูแล้วมีการกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน หรือมีรูรั่วติดต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน (perilymphatic fistula) รวมทั้งโรคมีเนีย (Meniere's syndrome) หรือน้ำในหูไม่เท่ากัน

-
สมอง เกี่ยวพันกับโรคของเส้นเลือด เช่น เลือดออกในสมอง เส้นเลือดในสมองตีบจากไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เนื้องอกในสมอง เช่น เนื้องอกของเส้นประสาทหู และ/หรือประสาทการทรงตัว (acoustic neuroma)

-
สาเหตุอื่นๆ ก็มี เช่น โรคโลหิตจาง โรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune disease) โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคเกร็ดเลือดสูงผิดปกติ โรคที่มีระดับยูริกในเลือดสูง โรคไต โรคเบาหวาน ความดันโลหิตต่ำหรือสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเหล่านี้สามารถทำให้หูอื้อได้






การวินิจฉัย โดยซักประวัติ สาเหตุต่างๆ ที่เป็นไปได้ การตรวจหูชั้นนอก ช่องหู แก้วหู หูชั้นกลาง และบริเวณรอบหู รวมทั้งการตรวจเลือดเพื่อหาความผิดปกติของเคมีในเลือด การตรวจปัสสาวะ ตรวจการได้ยินเพื่อยืนยันและประเมินระดับความรุนแรงของการเสียการได้ยิน ตลอดจนการตรวจคลื่นสมองระดับก้านสมอง และการถ่ายภาพรังสี เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง หรือกระดูกหลังหู หรือตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งฉีดสารรังสีเข้าหลอดเลือด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของโรค

การรักษาหูอื้อ

จะรักษาตามสาเหตุ ซึ่งมีทั้งการรักษาด้วยยาและการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม หูอื้อ ที่เกิดจากพยาธิสภาพของหูชั้นใน เส้นประสาทหู และระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะประสาทหูเสื่อมมักจะรักษาไม่หายขาด หรือดีหน่อยก็เพียงหาทางชะลอความเสื่อมให้ช้าลง โดยทั่วไป เมื่อมาพบแพทย์จะมีขั้นตอนดังนี้

1.
แพทย์จะอธิบายให้คนไข้เข้าใจว่า สาเหตุของหูอื้อเกิดจากอะไร บางรายไม่ทราบสาเหตุ หรือทราบสาเหตุแต่ไม่สามารถรักษาได้ และอาจเป็นตลอดชีวิต โชคดีบางรายอาจหายเองก็ได้ แล้วโรคนี้จะเป็นอันตรายหรือไม่ เป็นแล้วจะหายไหม

2.
ถ้าหูอื้อ ไม่มาก ยังพอได้ยินเสียง ไม่รบกวนคุณภาพชีวิตประจำวันมากนัก คือยังพอสื่อสารกับผู้อื่นได้ หรือเป็นเพียงหูข้างเดียว อีกข้างยังดีอยู่ ไม่จำเป็นต้องรักษา เพียงแต่ทำใจยอมรับ

3.
ถ้าหูอื้อมาก ไม่ค่อยได้ยินเสียง โดยเฉพาะถ้าเป็น 2 ข้าง และรบกวนคุณภาพชีวิตประจำวันมาก คือ ไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ และเกิดจากสาเหตุที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว แพทย์จะแนะนำให้ฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินด้วยการใช้เครื่องช่วยฟังร่วมกับการใช้ยาเพื่อให้การได้ยินดีขึ้น เช่น ยาขยายหลอดเลือดเพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นในมากขึ้น ยาบำรุงประสาทหู เป็นต้น


4.ถ้าหูอื้อ เกิดจากประสาทหูเสื่อม ควรป้องกันไม่ให้ประสาทหูเสื่อมมากขึ้นดังนี้


1.
หลีกเลี่ยงเสียงดัง
2.
ควรควบคุมโรคที่ผู้ป่วยเป็น (ถ้ามี) ให้ดี ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคกรดยูริกในเลือดสูง โรคซีด โรคเลือด ฯลฯ
3.
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู เช่น aspirin, aminoglycoside, quinine ซึ่งผู้ป่วยควรบอกแพทย์เสมอเวลาไปพบว่า ตนมีประสาทหูเสื่อม
4.
หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ หรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู
5.
หลีกเลี่ยงการติดเชื้อของหู หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
6.
ลดอาหารเค็ม หรือเครื่องดื่มบางประเภทที่มีสารกระตุ้นประสาท เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่ม น้ำอัดลม (มีสารคาเฟอีน) และงดการสูบบุหรี่ (มีสารนิโคติน)
7.
พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด วิตกกังวล
8.
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ


อย่านิ่งนอนใจเมื่อมีอาการหูอื้อ ควรปรึกษาแพทย์ หู คอ จมูก เพื่อหาสาเหตุแต่เนิ่นๆ ก่อนจะถึงขั้นหูดับ เชื่อหมอ เถอะ


สินค้ารวม