ขอบตาดำ สัญญาณไตเสื่อม!!!
มาดูว่ามันเกิดจากอะไรก่อนดีกว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าขอบตาดำเกิดจากนอนน้อยนอนดึกแต่จริงๆแล้วมีเรื่องซ่อนเร้นมากกว่านั้นครับ
ร่างกายของคนเราจะมีสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเสมอแต่น่าเสียดายที่คนเรา ไม่เข้าใจ หรือ ไม่รู้ว่าร่างกายต้องการบอกอะไรเรา คนที่ขอบตาดำพึงระวังไว้ครับว่าร่างกายกำลังเตือนเรา ว่าไตกำลังจะเสื่อม ! ไม่ต้องตกใจครับ ไม่ว่าอายุแค่ไหนหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน หรือ แก่ชราล้วนมีสิทธิไตเสื่อมด้วยกัน ทั้งนั้น ผมพูดถึงไตเสื่อมนะครับไม่ใช่โรคไต ตามที่เราเข้าใจกัน
ไตเป็นอวัยวะภายในที่ทำหน้าที่กรองของเสียในร่างกายซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆอย่างของไต หน้าที่อีกหลายอย่างของไตถ้ากล่าวถึงทั้งหมดเกรงจะยิ่งยาวจึงสรุปให้สั้นๆว่าไตนั้นเปรียบเหมือน GMหรือผจก.ของร่างกาย คนเราโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้ใช้ชีวิตกันในรูปแบบที่สุขภาพร่างกายจะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆโดยเฉพาะการทำร้ายไตของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะรับประทานอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไปหรืออาหารที่มีปัจจัยหยินหยางไม่สมดุลกับร่างกายตัว เอง (เค็มมาก มันมาก เผ็ดมาก ฟาสฟู้ด อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารอุตสาหกรรมต่างๆฯลฯ ) อีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้อง ทั้งนอนน้อยเกินไปนอนมากเกินไป นอนไม่เป็นเวลา ไม่ออกกำลังกาย(รวมถึงการออกกำลังที่ไม่เหมาะกับสภาวะของร่างกายตัวเอง) เครียดมาก กดดัน มาก รีบเร่งมาก ฯลฯ
คนในยุคปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะอยู่ในภาวะไตเสื่อมมากขึ้นและให้สังเกตสภาพร่างกายของตัวเองดังต่อ ไปนี้ครับ
1. มักจะอ่อนเพลียบ่อยขาดความกระตือรือร้น
2. นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่สนิท
3. ปัสสาวะบ่อย หรือกะปริดกะปรอย
4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืมขี้วิตกกังวล
7.หย่อนสมรรถภาพทางเพศหลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8.ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอกผมร่วงก่อนวัย
จริงๆมีเยอะกว่านี้นะครับ....เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน คือไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการ แบบนี้ทั้งหมดนะครับแต่โดยรวมแล้วมีปรากฎให้เห็นกับตัวเองและคนรอบข้าง
ทีนี้มาดูกันครับว่าอะไรบ้างที่ทำให้ไตเราเสื่อมกันนะครับ
1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล : ทำงานหนักเกินไปหามรุ่งหามค่ำ ไม่หลับไม่นอนหรือ เที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ
2. เพศสัมพันธ์ : การมีเพศสัมพันธ์มากเกินควรและการหลั่งน้ำอสุจิมากเกินควรทำให้ร่างกายเสีย พลังไปโดยเปล่าประโยชน์และไตจะอ่อนแอลง
3. การทานยารักษาใดๆเป็นระยะเวลานานหรือ ในปริมาณที่มากทั้งยาแก้ปวด ยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหาย แต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่
ยังมีอีกเยอะครับแต่ค่อนข้างจะลงรายละเอียดเยอะไปแล้วแค่นี้คงครอบคลุมแล้วล่ะมั้งครับ ลองพิจารณารูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองดูก่อนว่าเป็นอย่างไรและมีอาการตามที่ผมว่ามาหรือไม่ แล้วเรามาว่ากันต่อด้วยเรื่องการแก้ไข
การแก้ไข
ง่ายสุดครับคือปรับพฤติกรรมของตัวเอง ทั้งการนอน การกิน การอยู่ ผมให้Tip ง่ายๆเลยนะครับหนึ่งวันมี 24 ชม. ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยวพักผ่อน ดูทีวี สันทนาการออกกำลังกาย) นอน 8 ชั่วโมง เป็นไงล่ะครับทำยากใช่มั้ยครับผมถึงบอกไงว่าคนยุคปัจจุบันนี้ไตเสื่อมกันเยอะและจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นอีกเยอะมากๆในไม่เกิน 10 ปีนี้ หมอจะกำไรมากขึ้นจากการรักษาคนป่วยแต่คนป่วยจะไตพังกันมากขึ้นจากการกินยา แล้วก็จะวกมาให้ หมอรักษาไตอีก (- _- " ) เพราะฉะนั้นเราจึงควรพิจารณาตัวเองและตัดสินใจเองครับว่าจะบริหารจัดการกับชีวิตตนเอง อย่างไร ที่ไม่เสียงาน และยังมีรายได้ และไม่เสียสุขภาพ ขอให้โชคดีนะครับ
นอกจากนี้ผมมีข้อแนะนำสำหรับคุณอีกดังนี้ครับ
1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดีแต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุลจึงไม่แนะนำให้เล่นต่อเพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้นอยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ชำนาญซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ (ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับจะเสียมากกว่าได้ ) การฝึกโยคะไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยความงามแต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายใน ต่างๆของร่างกายและช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ได้ดีมากแต่ต้องฝึกอย่างมีวินัยและมีสมาธิ นอกจากนี้หากมีโอกาสอยากให้ฝึกชี่กงควบคู่ไปด้วยจะเห็นผลดี และเร็วยิ่งขึ้น หากรู้สึกว่ายากหรือห่างตัวเกินไปสำหรับคุณ ก็ให้เลือกการว่ายน้ำโดยว่ายอย่างเบาๆแต่ต่อเนื่องในเวลาที่พอสมควร(รู้สึกเหนื่อยเมื่อไรให้หยุดพักห้ามฝืนต่อ) ว่ายเบาๆ อย่าจ้ำพรืด..จ้ำพรืด..(คุณไม่ได้ไปแข่งกับใครคุณกำลังบำบัดตัวเอง)
2. ปรับอาหาร งดเนื้อสัตว์ย่อยยากอย่างวัว หมู ไก่ เป็ด แกะของเผ็ด ของเย็น (ไอสครีม น้ำ แข็ง ) ของมัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสดที่ปรุงน้อย(เช่นสลัด)มากขึ้นทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพดดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ห้ามดื่มน้ำเย็น)และงดเครื่องดื่มของมึนเมาน้ำอัดลม นม น้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว บรรจุขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง)
3. อยู่ห้องแอร์ให้น้อยลงอยู่หน้าจอคอมฯจอโทรทัศน์ให้น้อยลงหาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น(เดินเท้าเปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก)
อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกายของเราไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม หรือความรู้สึกก็ดี ล้วนมีส่วนสัมพันธ์กับอวัยวะไต ไตนั้นเปรียบเสมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของมนุษย์เป็นเหมือนผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาลแต่ก็เปราะบางยิ่งนักและง่ายต่อการแตกร้าว วิธีการดูแลรักษาไม่ยากเลยสำหรับคนในยุคสมัยก่อนแต่ยากยิ่ง สำหรับคนยุคสมัยนี้ นั่นคือ"คล้อยตามธรรมชาติ"
คนสมัยก่อน ตื่นเช้านอนแต่หัวค่ำทานอาหารที่สดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมดื่มน้ำบริสุทธิ์ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ ในขณะที่คนยุคปัจจุบันนอนดึกเป็นกิจวัตร(ทำงาน,ดูบอล,ดูโทรทัศน์,เที่ยวกลางคืน)ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลม พึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินความจำเป็น ฯลฯ
อาการไตเสื่อมจะเกิดใน 2 ลักษณะ แยกเป็น ไตหยิน กับไตหยาง
อาการไตหยาง หรือไตหดตัวแน่น นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย อสุจิเคลื่อนตอนนอน เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ โดยมีสาเหตุมาจาก
1.ทานอาหารรสเค็มจัด หรือเนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือพวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อย
2. ระบบการทำงาน หรือการใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ
3.การนั่งทำงานหรือนั่งรถนาน
ส่วนอีกลักษณะคือ ไตหยินหรือ ไตคลาย เฉื่อยชา เกียจคร้าน ความต้องการทางเพศต่ำลง ปวดเมื่อหลัง เอว ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน นอนตื่นสาย ไม่อยากตื่น อารมณ์อ่อนไหวง่าย ขี้หูมาก เหงื่อออกเยอะผิดปกติ
ตามปกติแล้ว ในเวลากลางคืนไต ซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำหรือ "หยิน"จะทำงานมากกว่าเวลากลางวัน (สังเกตว่าเวลาตื่นเช้า เราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับแรก) ดังนั้นเมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย"หยิน"ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิด เช่นขี้เกียจ อยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียว ขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น) ฉะนั้น ถ้าใครที่ใกล้ตัวหรือ พนักงานของใครที่ขี้เกียจ ก็อย่าไปดุด่าโทษเขา แต่ควรพูดคุย สอบ ถามวิธีการใช้ชีวิตแล้วแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการนอน การใช้ชีวิตจะได้บุญครับ ^ ^
การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่มปัจจัยหยินได้แก่
- การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัยรวมทั้ง น้ำแข็ง ไอสกรีมหวานเย็น และอาหารลักษณะนี้
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
- การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
- การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวันควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้างหรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต (ควรเป็นผ้าธรรมชาติ เช่นคอตตอน ) และหาโอกาสออกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง สำหรับคนที่นอนห้องแอร์ควรสวมเสื้อผ้าห่มผ้าให้อบอุ่น
- การนั่งรถนานๆโดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น
- นอนไม่เป็นเวลาทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อยหรือ นอนผิดเวลา สำหรับคนที่นอน และทำงานผิดเวลา ตามหลักวงจรธรรมชาตินั้นเวลากลางวัน คือ ยามสำหรับทำงาน เรียนหนังสือ ส่วนกลางคืน คือ ยามสำหรับพักผ่อน นอนหลับ (หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง)การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้นจะส่งผลถึงสุข ภาพร่างกายและจิตใจอย่างแน่นอนแม้ในปัจจุบันนี้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่นั่นเพราะ ตัวคุณมี "ทุน"ที่ยังค้ำยันอยู่แต่เมื่อใดที่ทุนนั้นพร่องลงไปเรื่อยๆ เพราะการใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัยหยินเช่นนี้อยู่
อาหารที่ควรเลือกรับประทานเป็นหลัก ได้แก่
1. ข้าวกล้อง
2. สาหร่ายทะเล
3. ถั่วแดง ผักสดผลไม้รสไม่หวานและ น้ำน้อย
4. เต้าเจี้ยว หลีกเลี่ยง
การใช้ชีวิตดังนี้
1. การสวมใส่รองเท้าส้นสูง
2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็งหรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ(เก้าอี้ หรือ เตียงดีไซน์เก๋ๆ ที่นิยม กันในหมู่คนรุ่นใหม่ ) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็งไม่นุ่ม กำลังดีอย่างที่นอนใยมะพร้าว
การใช้ชีวิตที่ควรปรับเพิ่ม
1. พยายามอย่านั่งหลังงอ
2. อย่านั่งนานๆหรืออย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ
3. ดื่มน้ำอุณหภูมิปกติ(ไม่เย็น) หรือน้ำอุ่นได้จะยิ่งดี วันละ 8 แก้วอย่างน้อยโดยดื่มแบบค่อยๆจิบ อย่าดื่มคำโตหรือเอื้อกเดียวหมดแก้ว