Custom Search

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ




ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่

อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอแต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุว่าปวดเพราะอะไร ทนได้ก็ทน แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดาน กดแล้วเจ็บ หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม ตัวเย็น เหงื่อออก ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที

เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ

1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่

- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ

- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ

- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต - คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่

3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้

4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่

- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ

- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต

- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ

- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ (ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก

- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต

- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ

- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ

- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก

- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต

- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต

- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ

- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ

- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้.




ปลานึ่ง-ย่าง ป้องกันโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ




ปลานึ่ง-ย่าง ป้องกันโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

การทานปลานั้น มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง แต่วันนี้เกร็ดความรู้มีประโยชน์อีกอย่างของการทานปลามาฝากกัน...

ข้อมูลทางสถิติล่าสุดในปี 2545 จากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงถึง 32,895 คน และในบรรดาโรคหัวใจต่าง ๆ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นโรคซึ่งมีสาเหตุเกิดจากส่วนที่ควบคุมกระแสไฟฟ้าใน หัวใจทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ระบบหมุนเวียนโลหิตติดขัด หากมีเลือดค้างหรือเป็นลิ่ม ก้อนลิ่มเลือดนั้นอาจไปอุดตันในหลอดเลือดของอวัยวะส่วนสำคัญ เช่น หากเกิดการอุดตันในสมองจะทำให้เป็นอัมพาตได้

การป้องกันโรคนี้ทำได้ไม่ยาก เพราะมีผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมอายุรแพทย์หัวใจอเมริกาว่า การรับประทานปลาทูน่าหรือปลาทะเลอื่น ๆ ที่ปรุงโดยปราศจากน้ำมัน เช่น การย่าง การนึ่ง ติดต่อกันอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ในขณะที่การรับประทานปลาทอดกลับไม่ช่วยลดอัตราเสี่ยงแต่อย่างใด

การทานปลานั้นมีประโยชน์ เพราะฉะนั้นหันมาทานปลาเยอะ ๆ กันดีกว่า





วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นิสัยการกินกับสุขภาพเต้านม/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ





นิสัยการกินกับสุขภาพเต้านม

อาหารมีผลต่อ "เต้านม" ได้อย่างที่นึกไม่ถึง

-น้ำหนักที่ขึ้น ๆ ลง อาจทำให้เต้านมหย่อน หากน้ำหนักไม่คงที่ เด๋วขึ้น เด๋วลง อาจทำให้เนื้อเยื่อ เต้านมเกิดอาการเด๋วตึงเด๋วหย่อน เมื่อเวลาผ่านไป เต้านม จึงอาจหย่อนคล้อยลงได้ (น้ำหนักที่ขึ้นลง ประมาณ 10 ปอนด์ มีผลทำให้เต้านมเริ่มหย่อนคล้อย)

1.คาเฟอีนทำให้เต้านมตึงคัด ผู้เชี่ยวชาญไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่อาหารและเครื่องดื่ม ที่มีคาเฟอีนอยู่เยอะ จะทำให้เจ็บคัดเต้านมแบบเดียวกับอาการก่อนหน้า มีประจำเดือน เพราะฉะนั้นในช่วงก่อนหน้ามีประจำเดือน หากลดอาหารอย่างเช่น ช็อกโกแลต กาแฟ โค้ก และชา จะช่วยบรรเทาอาการลงได้

2. ดื่มเหล้าวันละสองแก้ว เพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม หากดื่มเบียร์ ไวน์ หือเหล้าวันละสองแก้ว ความเสี่ยงเรื่อง โรคมะเร็งเต้านมจะเพิ่มขึ้นกว่าปรกติถึงหนึ่งเท่าครึ่ง

3. ไขมันคือปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง ผู้หญิงที่ยังอยู่ในวัยมีประจำเดือน หากรับประทานอาหาร ที่มีไขมันจากสัตว์ ซึ่งหลัก ๆ ได้แก่ เนื้อแดงและผลิตภัณฑ์จากนม เนย จะมีความเสี่ยงเรื่องโรคมะเร็งเต้านมสูงขึ้นนะจ๊ะ



นั่ง ยืน นอน แบบไกลอัมพาต/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ





นั่ง ยืน นอน แบบไกลอัมพาต

การนั่ง ยืน นอนดูจะเป็นเเรื่องความเคยชิน แต่รู้กันหรือไม่ว่า มันเกี่ยวพันกับโครงสร้างร่างกายของเราจัง ๆ

หากเกิดการปวดเมื่อยเรื้อรัง นั่นแหละมันบ่งชี้ว่าโครงสร้างร่างกายเริ่มมีความผิดปกติ และถ้าทิ้งไว้นาน ๆ อันตรายใหญ่หลวงจะมาเยือนโดยไม่รู้ตัว เพราะมันนำพาเราไปสู่การเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

นั่ง ยืน นอนแบบไหนดีไม่ดีอย่างไร ต้องฟังเสียงสถาบันปรับโครงสร้างร่างกายอริยะเขาว่า

ท่าแรกคือ นั่งไขว่ห้าง ท่านั่งยอดฮิตนี่แหละ ที่ส่งผลเสียในระยะยาวต่อโครงสร้างกระดูกสันหลัง การนั่งไขว่ห้างจะทำให้ตัวเราเอียงไปข้างหนึ่ง ทำให้กล้ามเนื้อไม่สมดุล ฝั่งหนึ่งหด แต่อีกฝั่งหนึ่งจะยืด กล้ามเนื้อที่หดจะค่อย ๆ สะสมความเกร็ง

และถ้าเราเกร็งในท่านี้ตลอดจะดึงกระดูกให้คด ถ้าเป็นมากบ่า 2 ข้างจะไม่เท่ากัน บางคนสะโพก 2 ข้างเป็นรูปตัวเอส บางคนเป็นรูปตัวซี



นั่งท่าไหนถึงจะถูกต้อง
มันเกี่ยวกับเก้าอี้ที่นั่งด้วย ถ้าเก้าอี้นุ่มหรือเอนมากเกินไป น้ำหนักจะไปลงที่หลังมากกว่าปกติทำให้กล้ามเนื้อเกร็ง กระดูกจะผิดรูปได้เหมือนกัน

การนั่งที่ถูกต้อง ต้องเลื่อนให้ก้นชิดพนัก จะช่วยไม่ให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักเกินไป

ต่อมา การกอดอก จะทำให้หัวไหล่และกระดูกสันหลังงุ้มไปด้านหน้า จะทำให้มีผลเสียในระยะยาว

เพราะหน้าอกเป็นที่ตั้งของปอด หัวใจ เมื่อใดที่หลังเรางุ้มมาก ๆ ปอดจะไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ อากาศเข้าไปได้ไม่เต็มที่ ร่างกายจะได้รับออกซิเจนน้อย หัวใจต้องทำงานหนัก มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทางเดินเลือด เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง


ทีนี้มาถึง ท่ายืน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ชอบสวม ?ส้นสูง? มากกว่า 2 นิ้ว จะเหมือนกับการยืนเขย่งเท้าอยู่ตลอดเวลา จะทำให้หลังช่วงล่างแอ่น และจะทำให้โครงสร้างผิดเพี้ยน

ดังนั้นหากเมื่อเริ่มเมื่อยควรจะหาที่นั่งพัก นั่งให้เต็มก้น เหยียดขา แล้วกระดกข้อเท้าขึ้น น่องจะตึง จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ถ้าเลือกไม่ได้จริง ๆ ขณะที่ยืนก็ต้องพยายามแขม่วท้องนิด ๆ เจะลดการแอ่นของหลังได้

แต่ถ้าเมื่อยล้าตรงบั้นเอว เมื่อยน่อง เมื่อยขามาก ควรจะไปตรวจเช็กดูได้แล้ว



มาถึง ท่านอน ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
ท่านอนที่ถูกต้องที่สุด คือ การนอนหงายมีหมอนรองใต้เข่า จะทำให้ช่วยลดแรงกดที่หลังช่วงล่าง กล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย

หากนอนหงายแล้วนอนไม่หลับ หายใจไม่ออก หรือรู้สึกเกร็งรั้ง นั่นอาจแสดงว่าโครงสร้างร่างกายเริ่มไม่ดีแล้ว

ถ้าชอบนอนตะแคง โดยเฉพาะตะแคงข้างเดียว ต้องบอกว่า อันตราย เพราะหัวไหล่จะถูกกดทับ เลือดไม่ไหลเวียน ทำให้ขัดหัวไหล่ ปวดต้นคอ อาจทำให้กระดูกเสื่อม หมอนรองกระดูกเคลื่อน เหรือกระดูกทับเส้นประสาท

ส่วนการเลือกหมอนหนุนก็สำคัญ หมอนควรจะรองรับศีรษะได้ดี ไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป และควรจะรับกับแนวโค้งของคอ เวลานอนให้เลื่อนปลายหมอน้อยู่ใต้หัวไหล่เล็กน้อย เพื่อให้หมอนประคองแนวสันหลังคอ

ไม่ควรนอนโดยไม่ใช้หมอน เพราะการรับน้ำหนักของศีรษะจะกระจายออก โค้งของกระดูกคอจะถูกดันให้อยู่ในเส้นตรงมากเกินไป อาจไปกดข้อต่อต่าง ๆ ได้

หากเราอยู่ในอิริยาบถที่ผิด อาจจะส่งผลร้ายจนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ เพราะกระดูกสันหลังเป็นศูนย์รวมเส้นประสาท เป็นชิ้นส่วนของร่างกายที่สำคัญมาก



ถ้าไม่อยากเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตโดยไม่รู้ตัว ควรกลับมานั่ง ยืน นอน อย่างถูกวิธีกันได้แล้ว




ท่านอนแต่ละท่า มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้างมาดูกันครับ/สุขภาพน่ารู้



ท่านอนแต่ละท่า มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้างมาดูกันครับ

หากเอ่ยถึงการนอนหลับลึกด้วยวิธีการคลายเกร็ง (Relaxation) ตามแบบฉบับชาวชีวจิตแล้ว หลาย ๆ คนอาจพยักหน้ารู้จัก และปฏิบัติกันเป็นอย่างดี แต่หากพูดถึงท่านอนที่คุณนอนในยามค่ำคืนแล้ว อาจมีหลายคนที่ส่ายหน้า เพราะไม่เคยสังเกต หรืออาจเปลี่ยนท่านอนกันบ่อยในแต่ละคืน

แต่คุณทราบหรือไม่ว่า ท่านอนแต่ละท่ามี ข้อดีและข้อเสียอย่างไร แล้วหากท่านั้นเป็นท่านอนประจำตัวคุณเสียแล้วจะต้องปรับเปลี่ยนท่านอนกันอย่างไรนั้น เกร็ดสุขภาพฉบับนี้มีคำแนะนำดีๆ จาก นายแพทย์ วรวุฒิ เจริญศิริ ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ มาฝากกันค่ะ



นอนหงาย

โดยปกติแล้วคนทั่วไปนิยมนอนหงาย ถือได้ว่าเป็นท่านอนมาตรฐาน เวลานอนหงายโดยไม่หนุนหมอนหรือใช้หมอนต่ำ ต้นคอจะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว ไม่ปวดคอ แต่ถ้าหนุนหมอนสักสองสามใบ คอจะก้มโน้มมาข้างหน้า ทำให้เกิดอาการปวดคอได้

ผู้มีอาการดังต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยงการนอนในท่านอนหงาย หรือแก้ไขตามคำแนะนำ ดังนี้

ผู้ป่วยโรคปอด ไม่เหมาะที่จะนอนท่านอนหงาย เพราะทำให้กล้ามเนื้อกระบังลมที่คั่นระหว่างช่องอก และช่องท้องกดทับเนื้อปอดเป็นเหตุให้หายใจลำบาก แต่สามารถแก้ไขได้ โดยการยกส่วนบนของร่างกายให้สูงขึ้นในลักษณะครึ่งนอนครึ่งนั่ง อาจจะใช้หมอน 2 - 3 ใบวางหนุนรองหลังไว้ หรือยกพื้นเตียงส่วนบนให้สูงขึ้นพอประมาณ

ผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย จะมีอาการนอนราบไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกจากห้องหัวใจ ได้ก่อให้เกิดอาการหอบ และหายใจติดขัด ผู้ป่วยโรคหัวใจจึงมักต้องลุกขึ้นนั่ง หรือยืนตอนกลางคืนเพื่อที่จะหายใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น เวลานอนควรใช้หมอนหนุนรองใต้โคนขา หรือวางพาดขาทั้งสองไว้บนเตียงนอน รวมทั้งควรออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 10 - 15 นาที เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังลดการเกร็งตัว และบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี


นอนตะแคง

ท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่านอนที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้พอสมควร แต่ควรกอดหมอนข้างและพาดขาไว้ ข้อเสียคือทำให้หัวใจ ซึ่งอยู่ด้านซ้ายทำงานลำบากขึ้น และอาหารในกระเพาะที่ยังย่อยไม่หมดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดลมจุกเสียดที่บริเวณลิ้นปี่ และอาจรู้สึกชาที่ขาซ้ายหากนอนทับเป็นเวลานาน หรือถ้าหนุนหมอนต่ำเกินไปจะทำให้ปวดต้นคอได้ แก้ไขโดยใช้หมอนสี่เหลี่ยมที่มีความสูงเท่าความกว้างของบ่าซ้ายหนุนนอน

ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุด ถ้าเทียบกับการนอนหลับในท่าอื่นๆ เพราะหัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทำให้ไม่คั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานเกินไป และเป็นท่านอนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ท่านอนตะแคงทั้งตะแคงซ้าย และขวาช่วยลดเสียงกรนได้ ในผู้ที่กรนจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมาก หรือโพรงจมูกอุดตัน


นอนคว่ำ

ท่านอนคว่ำทำให้หายใจติดขัดไม่สะดวก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่หรือสำหรับผู้ชาย การนอนคว่ำก็อาจทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการชาของอวัยวะเพศได้

การนอนคว่ำยังทำให้ปวดต้นคอ เนื่องจากต้องเงยมาข้างหลัง หรือบิดหมุนไปข้างซ้ายหรือขวานานเกินไป ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ทรวงอก โดยเฉพาะถ้าต้องการอ่านหนังสือในท่านอนคว่ำ ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้เมื่อยกล้ามเนื้อคอ และไม่มีอาการปวดคอ

นอกจากนี้ ความเชื่อแต่โบราณที่เคยเข้าใจว่า ทารกควรให้นอนคว่ำรูปหัวจะทุยสวย ไม่แบน แต่ปัจจุบันพบว่าจริงๆ แล้วอาจเกิดผลเสียได้ ทารกมีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากหายใจไม่ออกจากการที่จมูกหรือปากถูกทับไว้

นอกจากคุณจะเลือกนอนให้ถูกท่าเพื่อสุขภาพแล้ว ต้องรู้จักการนอนหลับลึกหลับสนิท ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และถือเป็นวิธีส่งเสริม "ภูมิชีวิต" อีกทางหนึ่ง




แต่งหน้าอย่างไรให้ขาวเนียน/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ



แต่งหน้าอย่างไรให้ขาวเนียน

วิธีการแต่ง หน้าแบบนี้ จะเน้นที่รองพื้นเป็นสำคัญอาจเลือกใช้ Make up base สีขาว แนะนำให้ใช้ฟองน้ำเกลี่ยทั่วใบหน้า จะช่วยให้หน้านวลเนียน ไม่เป็นคราบ และติดทนนาน

เมื่อเสร็จแล้ว ให้เลือก Liquid Foundation สีเนื้อที่มีเฉดสีอ่อนที่สุด เกลี่ยให้ทั่วใบหน้า และใช้ Loose Powder สีเหลือง ทำให้หน้าสว่าง จากนั้นให้ลง Loose Powder สีม่วงทับอีกครั้ง

สำหรับ คิ้ว ให้แต่งด้วยอายแชโดว์สีดำ เพราะกำหนดเส้นคิ้วได้สวยกว่า

ส่วนบริเวณรอบๆดวงตา ให้ใช้ eye liner ชนิดน้ำ สีดำ จะช่วยให้ดวงตาดูคมชัด กลมโตและเด่นขึ้น แต่ให้ทาบริเวณขอบตาบนเท่านั้น เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยการเขียนหางตาให้ตวัดขึ้น นอกจากนี้ เราสามารถติดขนตาปลอม ทำให้ตาดูโดดเด่นขึ้นได้

หากต้องการเพิ่มสีสันแก่ใบหน้า เลือกใช้อายแชโดว์ที่มีส่วนผสมของ Glitter เป็นตัวช่วยเพิ่มความเป็นประกายแวววาวสดใส ตั้งแต่ใต้ตา ยาวไปจนถึงหางตา โดยเน้นความเข้มที่ด้านบนและไล่โทนสีให้อ่อนลงมา

อย่าลืมแต่เรียวปากของคุณด้วยลิปสติกเฉดแดง ใช้ด้านที่เป็น Lip Liner สร้างรูปปากก่อน จากนั้นใช้ด้านที่เป็น Lipstick ระบายริมฝีปาก เมื่อเสร็จแล้ว ให้ใช้ Lip Shine สีแดงแตะบริเวณกึ่งกลางริมฝีปาก เพื่อเพิ่มความแวววาว

เมื่อเสร็จแล้ว ใบหน้าคุณก็จะดูสวย เรียบเนียน โดดเด่น เด้งเดิ้ลกว่าใครๆค่ะ


เคี้ยวข้างเดียวนานๆ เป็นไรไหม/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ




เคี้ยวข้างเดียวนานๆ เป็นไรไหม

การที่เรามีฟันครบอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ก็สามารถทำให้เราเคี้ยวอาหารได้ดีละเอียดขึ้น จะทานอะไรมันก็อร่อย ระบบบดเคี้ยวที่ดีต้องมีความสมดุล ซึ่งจะสัมพันธ์กันแค่ ฟัน ขากรรไกร และกล้ามเนื้อที่ขยับขับเคลื่อนขากรรไกร ถ้าอย่างหนึ่งอย่างใดผิดปกติ ระบบบดเคี้ยวก็เสียหายด้วย การเคี้ยวข้างเดียวก็เป็นประเด็นหนึ่งที่โยงไปถึงการด้อยประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวและมีผลข้างเคียงหลายๆอย่าง



ทำไมถึงเคี้ยวข้างเดียว

1. มีปัญหาที่ตัวฟันข้างนั้น เคี้ยวแล้วเศษอาหารติด,เคี้ยวแล้วเจ็บ จึงย้ายไปเคี้ยวอีกข้าง,ฟันผุที่ไม่ได้อุด,ฟันที่เป็นโรคเหงือกอักเสบ,โยกคลอน,ฟันร้าว,ฟันแตก,ฟันเหลือแค่ราก ลักษณะอย่างนี้ที่ทำให้ฟันทำหน้าที่ไม่เต็มที่ คนใช้จึงโยกการเคี้ยวไปอีกข้าง

2. บริเวณข้างนั้นไม่มีฟัน หลังจากที่ถอนฟันไปแล้ว ทันตแพทย์มักแนะนำให้คนไข้ใส่ฟันเพื่อรักษาระบบการบดเคี้ยวให้เป็นไปเหมือนเดิม มีหลายท่านที่ถอนฟันแล้วไม่ใส่ก็ย้ายไปเคี้ยวฝั่งตรงข้ามที่มีฟันเต็มๆ

3. มีฟันครบแต่ประสิทธิภาพในการตัดอาหารของทั้งสองข้างไม่เท่ากัน เรามักจะไปเคี้ยวยังด้านที่บดอาหารได้ดีกว่า อาจเป็นเพราะยอดฟันสึกจากที่เคยอุดฟันหรือใส่ฟัน Procela..มานานๆ วัสดุอุดฟันอาจจะสึกแตก ความคมของยอดฟันสูญเสียไป ก็เคี้ยวไม่ถนัดเมื่อเทียบอีกข้าง

4. โดยนิสัยของแต่ละคนที่ถนัดเคี้ยวข้างเดียว



การเคี้ยวข้างเดียวมีผลอย่างไร?



1. เกิดความไม่สมดุลย์ต่อการบดเคี้ยว โดยปกติแล้วหัวต่อขากรรไกรจะมีทั้งซ้าย,ขวา ทำหน้าที่คล้ายบานพับ อ้าปากหุบปาก หากมีการเคี้ยวข้างเดียวนานๆ มีผลทำให้เกิดอาการเจ็บบริเวณหัวต่อขากรรไกรได้

2. การเคี้ยวข้างเดียว มีผลทำให้ฟันข้างนั้นทำงานหนักมากขึ้น โอกาสจะเสียหาย,ฟันสึก,แตกมีมากขึ้น

3. กล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวด้านนั้นจะทำงานหนักมากขึ้น รูปขากรรไกรอาจดูไม่เท่ากัน กล้ามเนื้อด้านนั้นจะแข็งแรงและโตกว่าอีกข้าง


หากท่านเคี้ยวข้างเดียว จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ควรพบทันตแพทย์สาเหตุนั้นออก เพื่อให้ระบบบดเคี้ยวอยู่ในสภาพที่สมดุลย์ ลดการเสี่ยงต่อผลกระทบหรือสิ่งเสียหายที่มีต่อหัวต่อขากรรไกรและอวัยวะข้างเคียงได้








วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับรักษาผิวสาว/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ






เคล็ดลับรักษาผิวสาว

เคล็ดลับสำหรับสาวๆ ที่อยากผิวสวย หุ่นดี สุขภาพดีจากข้างในสู่ภายนอก วันนี้เรามีเคล็ดลับสำหรับสาวๆ มาให้ลองทำค่ะ

1. ทาครีมกันแดด

่ผู้รู้เขาบอกว่า 80 % ของการเสื่อมของผิวหนังเกิดจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด

ริ้วรอย เหี่ยวย่น เนื่องจากจะทำลายเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติคทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นได้ แต่อยู่เมืองไทยจะเลี่ยงไม่ให้โดนแดดกันเลย ก็เห็นจะยาก จึงควรทาครีมปกป้องใบหน้าและลำคอเป็นประจำทุกวัน ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 15 ขึ้นไปส่วนการขับรถในที่แดดจ้า โดยไม่สวมแว่นกันแดด ทำให้คุณต้องหยีตากันคลอดเวลา ก็ทำให้รอยตีนกามาเยือนได้ง่าย ๆ รวมทั้งการเผลอทำหน้านิ่วคิ้วยุ่งๆอยู่บ่อยๆ ก็เป็นที่มาของริ้วรอยทั้งสิ้น

2. ท่านอนทำให้เกิดริ้วรอย

ผู้เชียวชาญด้านผิวพรรณ บอกว่า ในช่วง 6-8 ชั่วโมง ของการนอนในแต่ละวัน มีผลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบนอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ใบหน้าด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอน เกิดริ้วรอยมากกกว่าอีกด้าน ยิ่งพวกที่ชอบเอามือก่ายหน้าผาก ก็ยิ่งทำให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมานอนหงายแทนหรือเลือกใช้หมอนที่อ่อนนุ่ม และใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้าลื่นๆ อย่างผ้าซาติน จะสามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้

3. กินอาหารดีๆ

อาหารที่ดี มีประโยชน์ และครบหมวดหมู่ จะช่วยให้ผิวพรรณสดใสได้ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้ว ส่วนบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นตัวการสำคัญที่บ่อนทำลายผิวหนังให้เสื่อมก่อนวัยอันควร

4. อดนอน ริ้วรอยมาเยือน

การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากทำให้สุขภาพทรุดโทรมแล้ว ใบหน้าก็ดูหมองคล้ำ อิดโรย และถ้าคุณอดนอนบ่อย ๆจะทำให้ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัย

5. รู้จักผ่อนคลาย

ความเครียดที่ไม่มีโอกาสผ่อนคลาย เปิดโอกาสให้สิวจู่โจมได้ง่ายๆถ้าไม่อยากให้เกิดสิว ซึ่งพลอยทำให้ใบหน้าไม่สดใส ควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด การทำจิตใจให้สงบโดยการทำสมาธิ การฟังเพลงสบายๆ ชื่นชมกับธรรมชาติรอบตัว ให้เวลากับสุนัข

ของคุณ ก็ช่วยคลายเครียดได้












ความสำคัญของโลหิต/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ





ความสำคัญของโลหิต

โลหิต เป็นของเหลวชนิดหนึ่ง เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดโลหิตในร่างกาย โดยสูบฉีดจากหัวใจ โลหิตเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ให้อยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือแม้แต่ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นคว้ามาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการหาสารประกอบอื่นมาทดแทนโลหิตได้ ฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้โลหิตจากมนุษย์บริจาคให้แก่กัน

หน้าที่ของโลหิต

โลหิตทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างคือ ขนส่งก๊าซออกซิเจนจากการหายใจเข้า และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายเมื่อหายใจออก มีหน้าที่ขนส่งสารอาหารโดยการดูดซึมสารอาหารจากกระเพาะอาหาร และลำไส้เข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไหลเวียนผ่านไปยังตับ และส่งต่อให้เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะนอกจากนี้โลหิตยังมีหน้าที่รักษาสม ดุลย์ของน้ำ และเกลือแร่ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่โดยการไหลเวียนของโลหิตไป ทั่วร่างกาย

ความหมายของการบริจาคโลหิต

การบริจาคโลหิต คือการสละโลหิตส่วนหนึ่งที่ร่างกายเหลือใช้เพื่อให้กับผู้ป่วย เป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะร่างกายคนจะมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ซึ่งร่างกายใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้ ผู้บริจาคโลหิตสามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน เพราะเมื่อบริจาคโลหิตออกไป ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตใน ร่างกายเท่าเดิม ถ้าไม่บริจาค ร่างกายก็จะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัวเพราะหมดอายุออกมาในรูปของปัสสาวะ อุจจาระ หรือเหงื่อ อยู่แล้ว การบริจาคโลหิตใช้เวลาประมาณ 15 นาที ท่านจะได้รับการเจาะโลหิตและบรรจุในถุงพลาสติก (Blood Bag) ตั้งแต่ 350-450 มิลลิลิตร (ซี ซี) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค

คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต ผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

1.อายุระหว่าง 17-60 ปีบริบูรณ์

2.น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป สุขภาพทั่วไปสมบูรณ์ดี

3.ไม่มีประวัติโรคตับอักเสบ หรือดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง

4.ไม่เป็นไข้มาเลเรีย ในระยะ 3 ปี ที่ผ่านมา และไม่เป็นกามโรค โรคติดเชื้อต่าง ๆ ไอเรื้อรัง ไอมีโลหิต โลหิตออกง่ายผิดปกติ โรคเลือด ชนิดต่าง ๆ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์

5.ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักลดมากในระยะสั้น

6.ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำส่อนทางเพศ ไม่มีประวัติยาเสพติด

7.งดการบริจาคโลหิตภายหลังการผ่าตัด คลอดบุตรหรือแท้งบุตร 6 เดือน (ถ้ามีการรับโลหิตต้องงดบริจาคโลหิต 1 ปี)

8.สตรีไม่อยู่ระหว่างมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์

9.นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ รับประทานอาหารก่อนมาบริจาคโลหิต

10.ไม่อยู่ในระหว่างทานยาแก้อักเสบ หรือหลังจากงดยา 2 สัปดาห์แล้ว

เพิ่มเติม

ทุกท่านมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในการรับบริจาคโลหิต ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

หากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มิใช่คู่นอนของท่าน ภายในระยะ 22 วัน หรือ 3 สัปดาห์ กรุณางดการบริจาค เพราะถ้าได้รับเชื้อจะเป็นระยะฟักตัว ไม่สามารถ ตรวจพบได้

ผู้บริจาคโลหิตที่ต้องการทราบผลการตรวจ กรุณาติดต่อ 0-2251-3111, 0-2252-4106 -6 ต่อ 123,151

เกร็ดความรู้

ถ้านำเส้นโลหิตทั่วร่างกายมาต่อกัน จะมีความยาวถึง 96,000 กิโลเมตร หรือความยาวเท่ากับ2 เท่าครึ่งของระยะทางรอบโลก โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณโลหิตในร่างกาย จะมี 5-6 ลิตรในผู้ชาย และ 4-5 ลิตรในผู้หญิง และโลหิตจะมีการไหลเวียน โดยผ่านมาที่หัวใจถึง 1,000 เที่ยวต่อวัน คนหนุ่มสาวจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงเท่ากับ 35,000,000,000,000 เซลล์ (สามสิบห้าล้านล้านเซลล์) อยู่ภายในร่างกาย ในเวลา 120 วัน เซลล์เม็ดโลหิตแดง จำนวน 1.2 ล้านเซลล์จะถึงกำหนดหมดอายุขัย และถูกขับถ่ายออกมา ในขณะเดียวกันไขกระดูกซึ่งส่วนใหญ่ อยู่ในกระดูกซี่โครง กะโหลกศีรษะ และกระดูกสันหลัง จะช่วยกันผลิตเซลล์ใหม่เท่ากับจำนวนที่ตายไปขึ้นมาแ

แก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ





แก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง

เพื่อเพิ่มความมั่นใจ โดยที่ไม่ต้องโบ๊ะหน้าให้เหมือนนางเอกลิเก วิธีการแต่งหน้าแบบน้อย ให้เป็นธรรมชาติ และแก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้น โดยคุณแทบจะไม่รู้สึกว่าแต่งหน้าเลยด้วยซ้ำธี

จมูกไม่โด่ง

วิธีแก้ให้ดูจมูกโด่งขึ้นก็คือ ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลอ่อนๆไล้ช่วงหัวคิ้วมากๆ เน้นนะว่าแค่เบาๆ เป็นเงาๆก็พอ อย่าหนักเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหน้าอาจกลายเป็นงิ้วได้ จากนั้นไล้ตั้งแต่ช่วงหัวคิ้วลงมาด้านข้างของสันจมูกจนถึงปลายจมูก และค่อยๆเกลี่ยให้เข้ากับปีกจมูก ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน โดยให้สังเกตว่าเป็นเงาๆก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าใครที่มีปลายจมูกยาวอยู่แล้ว ก็ไม่ควรไล้ให้ถึงปลายจมูก แต่ควรไล้ตัดปลายจมูกแทน

แก้มตอบ

แก้มตอบอาจทำให้คุณรู้สึกหน้าตาไม่สดชื่นได้ แต่จริงๆอย่ากังวลกับจุดนี้มากไป วิธีแก้ง่ายมาก ขอแนะให้ใช้บลัชครีม หรือบลัชออนสีชมพู ชมพูอมส้ม หรือแดงเชอร์รี่ปัดแก้มเป็นวงกลมตรงส่วนที่นูนที่สุดของแก้มเหมือนกับเราดึงจุดเด่นของพวงแก้มออกมามากขึ้น อาจใช้บลัชออนแบบมีประกายกากเพชรนิดๆเข้าไปด้วย จะทำให้แสงหักเหตรงพวงแก้มมากขึ้น แต่อย่าแรเงาตรงกรอบของขอบหน้าเด็ดขาด นั่นจะยิ่งทำให้แก้มดูตอบได้ แล้วเวลาเขียนอายแชโดว์ ไม่ต้องเขียนเส้นขอบตามากนัก มันจะยิ่งเน้นความคมสันของหน้า ให้ทาอายแชโดว์สีอ่อนๆมีประกายทั่วเปลือกตาก็พอ ส่วนสีของปากให้ใช้ลิปสติกสีอ่อนๆเข้าไว้ ถ้าใช้สีเข้ม เช่น สีน้ำตาล จะยิ่งทำให้หน้าเล็กลงไปได้อีก

แก้มเยอะ

แก้มยุ้ยๆน่ารักออก แต่ถ้าอยากแต่งหน้าให้เล็กลงและหน้ายังดูสดใสอยู่ ควรเลือกใช้บลัชครีม สีแดงเชอร์รี่และให้ลองแต้มที่กึ่งกลางแก้ม แตะวนเป็นกลมๆและใช้ปลายนิ้วมือเกลี่ยบลัชครีมขึ้นไปในแนวทะแยงจนถึงไรผมใกล้ๆขมับ เป็นการสร้างเฉดให้หน้า เงาตรงนี้จะทำให้หน้าดูเล็กลง และสีแดงของบลัชจะทำให้แก้มดูเหมือนมีเลือดฝาดแบบเด็กๆ น่ารักสดใสเป็นธรรมชาติ

ตาไม่ดึงดูด

อยากให้ตาดูมีเสน่ห์มากขึ้น หน้าทั้งหน้าจะได้ดูเด่นขึ้นไปด้วย แนะนำให้ใช้อายแชโดว์สีชมพูอ่อนๆจะเป็นแบบมีประกายสีเงินวาวๆซ่อยอยู่ด้วยก็ดี ทาอายแชโดว์ไปตามแนวพับเพื่อเป็นการสร้างสีสันให้ดวงตา แล้วใช้อายไลเนอร์แบบดินสอ เลือกสีเขียวสดไปเลย เขียนให้ชิดเส้นขอบตาด้านบน เขียนให้เส้นโตๆหน่อย เพื่อทำให้ตาดูเด่นสะดุด แล้วปัดเฉพาะขนตาบนให้เด้งที่สุด ตาจะเก๋มีเสน่ห์ขึ้นมาทันที

คางเหลี่ยม และหน้าดูไม่มีมิติ

ให้ลงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ก่อนเพื่อปรับสภาพผิวหน้า เพราะจะช่วยให้เกลี่ยบลัชครีมง่ายขึ้น ถ้าผิวเนียนอยู่แล้วไม่ต้องใช้รองพื้นเลย ใช้บลัชครีมโทนสีน้ำตาลเข้มหน่อยเพื่อให้หน้ามีแสงเงาขึ้น แต้มไปตามกรอบของหน้าโดยเน้นส่วนที่เป็นเหลี่ยมๆและส่วนของโหนกแก้มที่ทำให้หน้าดูแข็ง อย่าลืมแต้มตรงกรอบหน้าที่ติดกับไรผมด้วยนะ เวลาแต้มบลัชตรงแก้มให้แต้มเริ่มจากขมับไล่ไปตามแนว 45 องศา เข้ามาในหน้าจนถึงระดับกลางตาดำ จากนั้นค่อยๆใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ให้ดูกลืนกัน แค่นี้ก็จะเป็นการสร้างกรอบหน้าใหม่ให้ดูเข้ารูปและมีมิติขึ้นแล้ว

ตาเล็กและหนังตาตก

สามารถทำให้ตาคมโตขึ้นได้ง่ายๆ คือ เริ่มจากเลือสีอายแชโดว์สองสี สีอ่อนและสีเข้มมาใช้สร้างรูปตาของเราให้ดูมีชั้น ใช้อายแชโดว์สีอ่อนทาทั่วเปลือกตาตามรอยพับก่อน อย่าลืมทาตรงช่วงโหนกคิ้วด้วยนะ แล้วใช้อายแชโดว์สีเข้มไล้ช่วงหางตาขึ้นไปเป็นแนวโค้งของเบ้าตา ถ้าสงสัยว่าเบ้าตาอยู่ตรงไหน ให้ส่องกระจกแล้วเลิกคิ้วดู จะเห็นกระบอกตาที่ดูลึกเข้าไป นั่นล่ะเบ้าตา ก็ไล้ไปตามแนวนั้นได้เลย จากนั้นใช้อายแชโดว์สีเข้มอันเดิม แตะน้ำนิดหน่อย แล้วใช้พู่กันเขียนลงให้ชิดเส้นขอบตาบน เน้นช่วงตรงหางตา แค่นี้ก็ทำให้ตาดูคมโตขึ้นแล้ว


สินค้ารวม