Custom Search

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สดใสยามเช้า (สำหรับคนนอนดึก)

น้ำมะนาว เวลาที่บางคนไปตามสถานบันเทิง เพื่อหาความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ ใส่ตัว จากคนที่เงียบขรึมไม่ค่อยพูด ค่อยจา ก็ยังพาลลืมเนื้อลืมตัวไปกับความมันส์ชนิดที่เรียกว่าสุดเหวี่ยง ลืมคิดไปว่าตัวเป็นนักร้องไปซะเอง พอตื่นเช้าขึ้นมาเท่านั้นแหละ อาการเจ็บคอก็จะถามหา ขอแนะนำให้หาน้ำมะนาวจะมีกรดมะนาว หรือ กรดซิกตริก แถมมีน้ำมันหอมระเหยอยู่เล็กน้อยพอได้กลิ่นหอมชวนดื่มจากเปลือกที่โดนคั้น แถมยังมีวิตา มิน C ที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะแก้อาการเจ็บคอ ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย

น้ำขิง สำหรับคนที่รู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน เป็นอาการของคนเมาค้างนั่นเองลองหันมา หาน้ำขิงร้อนๆ ดื่มดีกว่า เพราะขิงจัดเป็นสมุนไพรที่มีรสชาติและกลิ่นพิเศษ ขิงมีสารเคมีชนิดหนึ่งเป็น เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหย ให้ทั้งรสและกลิ่น สารตัวนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าจินเจอรอล (gingerol) จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮลล์ แต่ไม่ทำให้เรารู้สึกมึนเมาได้เป็นอันขาด การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ให้บุบหัวขิงที่ยังไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด หากต้มนานเกินไปขิงจะเสียรสเสียกลิ่นไปได้ มาก จะดื่มเปล่าๆ หรือเติมน้ำตาลให้รสชาติหวานน่ากินหน่อยก็ได้

น้ำผัก น้ำผลไม้ ดื่มง่ายแถมยังอุดมไปด้วยวิตามินหลากหลายชนิด ในน้ำผัก น้ำผลไม้ มีส่วนผสมของน้ำตาล ซึ่งเป็น น้ำตาลโดยธรรมชาติของผลไม้หรือผักเอง รวมไปถึงน้ำตาลที่มีการเติมลงไป มีการแต่งกลิ่นและสีให้ดูมี ชีวิตชีวาของผักและผลไม้เข้าไปด้วย สามารถให้พลังงานแก่ร่างกายช่วยให้เราหายเหนื่อย หายเพลีย ทำ ให้ร่างกายสดชื่น ซ้ำยังมีแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี ที่จะเข้าไปทดแทนในส่วนที่เสียไป ไม่เพียงเท่านั้นยังมีวิตามินที่สำคัญอีกหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามิน C และวิตามิน A และโฟลิคแอซิด ที่มีอยู่ในผลไม้และผัก

น้ำหวานๆ คนที่นอนดึกส่วนใหญ่จะตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ รู้สึกเกิดอาการเครียดทางประสาท นั่นก็เพราะว่าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ อาหารที่มีสามารอาหารของแป้งและน้ำตาลสามารถช่วยได้ โดย เฉพาะน้ำตาลจะดูดซึมได้ดีและง่ายกว่า แต่ถ้าจะเดินเข้าครัวไปหยิบน้ำตาลมานั่งกินเล่นก็ดูจะแปลกอยู่ เพียงน้ำหวานสักแก้วก็สามารถช่วยให้จิตใจสงบขึ้นได้ คลายอาการเครียด ได้แล้วค่ะ

แสบร้อนที่มือเพราะพริกขี้หนู ทำไงดี?

เคยใช่ม๊า หั่น ซอย หรือว่าเด็ดพริกขี้หนู แล้วสิ่งที่ได้มากกว่าความเผ็ดของอาหาร ก็คือความร้อนแสบไปทั่วบริเวณนิ้ว หรือมือที่สัมผัสกับพริกขี้หนูที่ฤทธิ์ไม่พริกขี้หนูเอาเสียเลย แก้ได้ไม่ยาก

วิธีแรก ท่านว่าให้นำ เกลือแกง ก็เกลือเค็มๆที่เราใช้ปรุงอาหารนี่ล่ะ สักหนึ่งช้อนแกง ลูบลงบนมือถูไปถูมาความแสบร้อนก็จะคลายลง

อีกวิธีนึง ท่านว่าแทนที่จะใช้เกลือแกง ให้ใช้ แป้ง จะแป้งเด็กทาตัว หรือแป้งหมี่

ที่เราใช้ทำอาหารก็ได้ ลูบถู ไปตรงบริเวณที่รู้สึกแสบร้อน สักครู่ก็จะรู้สึกดีขึ้น

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

ส้นเท้าแตก เรื่องธรรมดาที่ไม่ควรมองข้าม



ส้นเท้าแตก เรื่องธรรมดาที่ไม่ควรมองข้าม

แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็ทำเอาหลายคน โดยเฉพาะสาว ขาดความมั่นใจ ส้นเท้าแตก รอยแยกสาก ดำ จนไม่กล้าสวมรองเท้าเปิดส้นออกจากบ้านเลยทีเดียว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาจิตวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ลัย อธิบายว่า ปัญหาผิวแห้งแตกระแหงโดยเฉพาะบริเวณส้นเท้ากำลังกลายเป็นปัญหาเพราะแฟชั่นรองเท้าเปิดส้น สาว หลายคนต้องการเปิดเผยบริเวณส้นเท้าที่เรียบสะอาด จึงกลายเป็นภาระที่ต้องรักษาผิวส้นเท้าให้อยู่ในสภาพปกติ เพื่ออวดผู้อื่นได้ แต่หลายคนมีปัญหาผิวแห้งโดยพันธุกรรม ผิวหนังกำพร้าชั้นขี้ไคลของฝ่าเท้าจะหนา และสูญเสียน้ำจากผิวกว่าปกติ ผิวจะไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นได้ผิวจึงแห้งแตก

ถ้าผิวแห้งมากผิวจะแตกเป็นร่องลึกกลายเป็นร่องสะสมของคราบสกปรก ถ้าใช้สบู่ล้างขัดบ่อย ก็จะยิ่งทำให้คุณภาพของหนังขี้ไคลเสียเพิ่มขึ้น ผิวหนังจึงไม่สามารถซ่อมแซมได้ทันจึงทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น และด้วยวัฒน ธรรมไทยจะเดินเท้าเปล่าในบ้านการสะสมของคราบสกปรกในร่องผิวก็จะมากขึ้นตามมาอีก จำเป็นต้องทำความสะอาดแบบรุนแรงโดยการขัดด้วยหิน หรือทำความสะอาดด้วยแปรงขัด ผิวจะดูสะอาดเพียงชั่วคราว ผิวแห้งก็ยังคงอยู่ ถ้าไม่มีการปกปิดผิวหนังบริเวณส้นเท้าก็จะสกปรกเหมือนเดิม หลายท่านอาจใช้ครีมหลังการขัดล้าง แต่ก็ยังไม่พอที่จะฟื้นฟูสภาพผิวได้ และครีมอาจช่วยดูดซับความสกปรกเพิ่มขึ้นอีก

นอกจากพันธุกรรมแล้ว ยังพบปัจจัยอื่นช่วยเสริมปัญหาผิวแห้งเช่น การทำงานในห้องปรับอากาศผิวจะแห้งเพราะความชื้นในห้องปรับอากาศจะต่ำกว่าภายนอก หรือการทำความสะอาดผิวด้วยน้ำอุ่นและสบู่เป็นเวลานานจะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวออกเกินความจำเป็น การแก้ไขผิวแห้งจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผิวแห้งด้วย

ข้อแนะนำรักษาผิวแห้งบริเวณส้นเท้า คือ

1.ควรใส่รองเท้าหรือถุงเท้าเพื่อปกปิดส้นเท้าไม่ให้คราบสกปรกสะสมและยังช่วยลดการสูญเสียน้ำจากผิวหนังได้

2.ทำความสะอาดแต่พอควรการใช้น้ำอุ่น การใช้สบู่และการแช่น้ำนานๆ จะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น

3.เมื่อทำความสะอาดโดยการขัดหรือแปรงผิวควรทาครีมหรือขี้ผึ้งเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้งและควรสวมใส่รองเท้าปิดส้นจนกว่าผิวจะปกติ

4.ถ้าเป็นร่องลึกเจ็บอาจปิดร่องด้วยกาวตราช้างเพื่อทุเลาอาการเจ็บ กาวจะหลุดออกเองภายหลัง

5.ใช้ยาทาผิวส้นเท้ารักษาผิวแห้ง ลักษณะของยามี 2 แบบ คือ

- ขี้ผึ้งกรดซาลิซิลิค เนื้อยาจะผสมในวาสลินในความเข้มข้นร้อยละ 5-40 โดยกรดซาลิซิลิคช่วยลอกผิว ส่วนวาสลินจะเคลือบผิวให้อ่อนนุ่ม ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวและช่วยเร่งการซ่อมแซมของผิวหนัง แต่ขี้ผึ้งเหนียวเหนอะหนะเปรอะเปื้อนหลายท่านจึงไม่นิยมใช้ ประสิทธิภาพขี้ผึ้งจะดีกว่าครีม จึงแนะนำให้ใช้ทาขี้ผึ้งก่อนนอนพร้อมสวมใส่ถุงเท้า

- ครีมผิวแห้งผสมสารเพิ่มความชุ่มชื้น ครีมจะประกอบด้วยน้ำมันและไขหลายชนิดผสมในน้ำโดยใช้สารลดแรงประจุช่วยให้เกิดเนื้อครีมและจะใส่สารเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น น้ำมันสกัดต่าง ลาโนลิน กรีเซอริน กรดผลไม้ ยูเรีย โปรตีน ฯลฯ ครีมเมื่อทาเนื้อครีมจะแห้งซึมหายไปจึงเป็นที่นิยมใช้ แต่ถ้าผิวแห้งมากก็ไม่ได้ผล ในปัจจุบันมีการพัฒนาครีมซิลิโคน ซึ่งจะช่วยเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ไม่เหนียวเมื่อทาจะซึมหายในชั้นผิวหนังและเคลือบผิวได้ดีกว่าครีมธรรมดา แต่ราคาจะแพงกว่าขี้ผึ้งกรดซาลิซิลิค

การรักษาส้นเท้าแตกควรหลีกเลี่ยงปัจจัยส่งเสริมให้ผิวแห้ง โดยป้องกันการระเหยของน้ำควรใส่รองเท้าหุ้มส้นจนกว่าสภาพผิวคืนกลับปกติ ควรทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้งที่ทำความสะอาดเท้า และไม่ควรใส่รองเท้าเปิดส้นตลอด ถ้าส้นเท้าเริ่มมีรอยแห้งแตกก็ควรเปลี่ยนกลับมาใส่รองเท้าหุ้มส้นชั่วคราวก่อน และเมื่ออยู่ในบ้านการใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าหุ้มส้นตลอดเวลาปัญหาส้นเท้าแตกก็จะทุเลา ผู้มีปัญหาส้นเท้าแตกคงมีความมั่นใจในตัวเอง และมีความสุขเพิ่มขึ้นเมื่อได้ใส่รองเท้าตามความนิยมในบางโอกาส แต่ถ้าทำใจได้ว่าส้นเท้าแตกเป็นเรื่องธรรมดาก็คงหมดปัญหาเรื่องเท้ามีไว้เดิน ไม่ใช่ไว้ดูให้ทุกข์ใจ.

ขอบคุณ เดลินิวส์





เหงื่อบอกโรค/ สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ



เหงื่อบอกโรค

เหงื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรคบางชนิดได้

ในนิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับ .. ..เมทินี ไชยชนะ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โรงพยาบาลฝาง .เชียงใหม่ อธิบายว่า โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ

1.โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก

- เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น

- ต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือ คอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย

- วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วตัวในเวลากลางคืน สลับกับเป็นไข้ ไอเรื้อรัง

- เบาหวาน เหงื่อซึมทั่วตัว โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

- โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง

- ภาวะใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากสมองหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง "โพรเจสเทอโรน" น้อยลง เหงื่อจะออกมากในเวลากลางคืน

2.โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย

ผู้ที่เหงื่อออกน้อยผิดปกติ เนื่องจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่อง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความร้อนในร่างกายสูง อาจก่อให้เกิดโรคตามมาดังนี้

- โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด

- ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากร่างกายได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน

คุณหมอเมทินี เสริมว่า โรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเหงื่อใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องมีปัจจัยอื่นร่วมอีกหลายอย่าง แต่มีทางป้องกันได้ ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเหงื่อของร่างกาย และเลือกสถานที่อยู่ให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือแห้งเกินไป จะช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่องได้

ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด




อดตาหลับ ขับตานอน/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ


อดตาหลับ ขับตานอน

โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของเราถูกจัดระบบให้นอนหลับเวลากลางคืน และตื่นกลางวัน แต่หากวันไหนที่เราจำเป็นต้องอดนอน จะทำอย่างไรจึงจะสดใส ไม่หมดแรงเอาดื้อ วันนี้สามัญประจำบ้านมีมาบอก

จากการวิจัยพบว่า การนอนหลับประมาณ 8 ชม.เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนอนที่ดี และเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทำกิจกรรม ส่วนกลางคืนซีโรโตนินจะลดระดับลงเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน รวมทั้งต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโตนิน ออกมาเพื่อให้ร่างกายง่วงนอน จนกระทั่งใกล้เช้า ก็จะลดลงทำให้เราตื่นมาพอดี หากว่าเราอดนอนถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้เจ็บป่วยได้

เวลาเราอดนอน จะสังเกตได้ว่าบางครั้งจะมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดและเวียนศีรษะ ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก ความดันสูง ซึมเศร้า ท้อแท้ และถ้าหากอดนอนสะสมมาก อาจร้ายแรงถึงขั้นระบบประสาททำงานผิดปกติ จนเกิดอาการประสาทหลอนได้

ดังนั้น หากแหงนมองนาฬิกาเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ยังไม่ได้นอน ไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟ เพราะจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ และไม่ควรดื่มนมวัว เพราะมีไขมันสูง ใช้เวลาในการย่อย 3-4 ชั่วโมง จะเป็นการรบกวนกระเพาะอาหาร ควรรับประทานอาหารอุ่น ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวเหนียว หรือกล้วยนำไปอุ่นให้ร้อน

ขณะเดียวกัน หากตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียจากการนอนดึก แนะนำให้อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นจัด ประมาณ 3 นาทีและอาบน้ำเย็นอีก 2 นาทีสลับไปมา 3 รอบ จะทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าการดื่มกาแฟหรือชาร้อนในตอนเช้าเสียอีก นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย อาทิ ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้สด

เพียงแค่นี้ ก็สามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการนอนดึกได้แล้ว แต่ทางที่ดีแนะนำว่าอย่านอนดึกจนติดเป็นนิสัยจะดีกว่า เพราะร่างกายของเราไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยนบ่อย เหมือนเครื่องจักรนะจ้ะ

ใครที่อยากมีผิวพรรณสวยๆ ลองกินอาหารพรรณสวยๆ ลองหาเมนูอาหารตามนี้ดูนะคะ



ใครที่อยากมีผิวพรรณสวยๆ ลองกินอาหารพรรณสวยๆ ลองหาเมนูอาหารตามนี้ดูนะคะ

เนื้อปลา เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหาร ที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซม เซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้าน อนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชรา และความเสื่อมของร่างกาย

น้ำมันมะกอก ในน้ำมันมะกอก ประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกัน การเสื่อมของเซลล์ ทำให้ผิวดูอ่อนวัย คงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

เมล็ดข้าวและธัญพืช มีงานวิจัยระบุว่าวิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้อง ความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว

ผลไม้และผักสด ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซี ซึ่งมีส่วนสำคัญ ต่อการสร้างเส้นใย คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณ ของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น

น้ำเปล่า น้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับ ทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกาย ได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ6-8 แก้วโต เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง

อย่าลืมนะคะ เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

แถมยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณอีกด้วยค่ะ





3 ท่า เช็คอาการกระดูกทับเส้นประสาท/สุขภาพหน้ารู้ ง่ายๆของคุณ


3 ท่า เช็คอาการกระดูกทับเส้นประสาท

กระดูกทับเส้นประสาทนั้น มักมีอาการปวดร้าวตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

รู้สึกปวดหลัง ขา หรือแขน แตกต่างกันไปในแต่ละราย ขึ้นอยู่กับว่ากระดูก

ทับเส้นประสาทเส้นไหน

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ รักษาด้วยการนอนพัก กินยา กายภาพบำบัด

ผู้ป่วยส่วนน้อย รักษาด้วยการผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทออกไป

หากได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ สามารถหายกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

เมื่อไม่แน่ใจว่าเป็นกระดูกทับเส้นประสาทหรือไม่ วิธีเช็คอาการเบื้องต้น มีดังนี้

1. นอนหงาย

2. ยกขาข้างหนึ่งขึ้น โดยให้หัวเข่าเหยียดตรง ทำมุมตั้งฉากกับพื้น ถ้ามีอาการ

กระดูกทับเส้นประสาทจะรู้สึกปวดตึงขา

3. เมื่อกระดกปลายเท้ามาด้านหน้าจะรู้สึกปวดมากขึ้น

นอกจากนี้ อาจมีอาการปวดชาตามขาข้างใดข้างหนึ่ง และมีอาการขาอ่อนแรงร่วมด้วย

ถ้าสังเกตพบความผิดปกติเบื้องต้น ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

ที่มา นิตยสารชีวจิต ปีที่ 11


สินค้ารวม