Custom Search

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สดใสยามเช้า (สำหรับคนนอนดึก)

น้ำมะนาว เวลาที่บางคนไปตามสถานบันเทิง เพื่อหาความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ ใส่ตัว จากคนที่เงียบขรึมไม่ค่อยพูด ค่อยจา ก็ยังพาลลืมเนื้อลืมตัวไปกับความมันส์ชนิดที่เรียกว่าสุดเหวี่ยง ลืมคิดไปว่าตัวเป็นนักร้องไปซะเอง พอตื่นเช้าขึ้นมาเท่านั้นแหละ อาการเจ็บคอก็จะถามหา ขอแนะนำให้หาน้ำมะนาวจะมีกรดมะนาว หรือ กรดซิกตริก แถมมีน้ำมันหอมระเหยอยู่เล็กน้อยพอได้กลิ่นหอมชวนดื่มจากเปลือกที่โดนคั้น แถมยังมีวิตา มิน C ที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะแก้อาการเจ็บคอ ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย

น้ำขิง สำหรับคนที่รู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน เป็นอาการของคนเมาค้างนั่นเองลองหันมา หาน้ำขิงร้อนๆ ดื่มดีกว่า เพราะขิงจัดเป็นสมุนไพรที่มีรสชาติและกลิ่นพิเศษ ขิงมีสารเคมีชนิดหนึ่งเป็น เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหย ให้ทั้งรสและกลิ่น สารตัวนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าจินเจอรอล (gingerol) จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮลล์ แต่ไม่ทำให้เรารู้สึกมึนเมาได้เป็นอันขาด การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ให้บุบหัวขิงที่ยังไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด หากต้มนานเกินไปขิงจะเสียรสเสียกลิ่นไปได้ มาก จะดื่มเปล่าๆ หรือเติมน้ำตาลให้รสชาติหวานน่ากินหน่อยก็ได้

น้ำผัก น้ำผลไม้ ดื่มง่ายแถมยังอุดมไปด้วยวิตามินหลากหลายชนิด ในน้ำผัก น้ำผลไม้ มีส่วนผสมของน้ำตาล ซึ่งเป็น น้ำตาลโดยธรรมชาติของผลไม้หรือผักเอง รวมไปถึงน้ำตาลที่มีการเติมลงไป มีการแต่งกลิ่นและสีให้ดูมี ชีวิตชีวาของผักและผลไม้เข้าไปด้วย สามารถให้พลังงานแก่ร่างกายช่วยให้เราหายเหนื่อย หายเพลีย ทำ ให้ร่างกายสดชื่น ซ้ำยังมีแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี ที่จะเข้าไปทดแทนในส่วนที่เสียไป ไม่เพียงเท่านั้นยังมีวิตามินที่สำคัญอีกหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามิน C และวิตามิน A และโฟลิคแอซิด ที่มีอยู่ในผลไม้และผัก

น้ำหวานๆ คนที่นอนดึกส่วนใหญ่จะตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ รู้สึกเกิดอาการเครียดทางประสาท นั่นก็เพราะว่าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ อาหารที่มีสามารอาหารของแป้งและน้ำตาลสามารถช่วยได้ โดย เฉพาะน้ำตาลจะดูดซึมได้ดีและง่ายกว่า แต่ถ้าจะเดินเข้าครัวไปหยิบน้ำตาลมานั่งกินเล่นก็ดูจะแปลกอยู่ เพียงน้ำหวานสักแก้วก็สามารถช่วยให้จิตใจสงบขึ้นได้ คลายอาการเครียด ได้แล้วค่ะ

แสบร้อนที่มือเพราะพริกขี้หนู ทำไงดี?

เคยใช่ม๊า หั่น ซอย หรือว่าเด็ดพริกขี้หนู แล้วสิ่งที่ได้มากกว่าความเผ็ดของอาหาร ก็คือความร้อนแสบไปทั่วบริเวณนิ้ว หรือมือที่สัมผัสกับพริกขี้หนูที่ฤทธิ์ไม่พริกขี้หนูเอาเสียเลย แก้ได้ไม่ยาก

วิธีแรก ท่านว่าให้นำ เกลือแกง ก็เกลือเค็มๆที่เราใช้ปรุงอาหารนี่ล่ะ สักหนึ่งช้อนแกง ลูบลงบนมือถูไปถูมาความแสบร้อนก็จะคลายลง

อีกวิธีนึง ท่านว่าแทนที่จะใช้เกลือแกง ให้ใช้ แป้ง จะแป้งเด็กทาตัว หรือแป้งหมี่

ที่เราใช้ทำอาหารก็ได้ ลูบถู ไปตรงบริเวณที่รู้สึกแสบร้อน สักครู่ก็จะรู้สึกดีขึ้น

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

ส้นเท้าแตก เรื่องธรรมดาที่ไม่ควรมองข้าม



ส้นเท้าแตก เรื่องธรรมดาที่ไม่ควรมองข้าม

แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็ทำเอาหลายคน โดยเฉพาะสาว ขาดความมั่นใจ ส้นเท้าแตก รอยแยกสาก ดำ จนไม่กล้าสวมรองเท้าเปิดส้นออกจากบ้านเลยทีเดียว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาจิตวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ลัย อธิบายว่า ปัญหาผิวแห้งแตกระแหงโดยเฉพาะบริเวณส้นเท้ากำลังกลายเป็นปัญหาเพราะแฟชั่นรองเท้าเปิดส้น สาว หลายคนต้องการเปิดเผยบริเวณส้นเท้าที่เรียบสะอาด จึงกลายเป็นภาระที่ต้องรักษาผิวส้นเท้าให้อยู่ในสภาพปกติ เพื่ออวดผู้อื่นได้ แต่หลายคนมีปัญหาผิวแห้งโดยพันธุกรรม ผิวหนังกำพร้าชั้นขี้ไคลของฝ่าเท้าจะหนา และสูญเสียน้ำจากผิวกว่าปกติ ผิวจะไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นได้ผิวจึงแห้งแตก

ถ้าผิวแห้งมากผิวจะแตกเป็นร่องลึกกลายเป็นร่องสะสมของคราบสกปรก ถ้าใช้สบู่ล้างขัดบ่อย ก็จะยิ่งทำให้คุณภาพของหนังขี้ไคลเสียเพิ่มขึ้น ผิวหนังจึงไม่สามารถซ่อมแซมได้ทันจึงทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น และด้วยวัฒน ธรรมไทยจะเดินเท้าเปล่าในบ้านการสะสมของคราบสกปรกในร่องผิวก็จะมากขึ้นตามมาอีก จำเป็นต้องทำความสะอาดแบบรุนแรงโดยการขัดด้วยหิน หรือทำความสะอาดด้วยแปรงขัด ผิวจะดูสะอาดเพียงชั่วคราว ผิวแห้งก็ยังคงอยู่ ถ้าไม่มีการปกปิดผิวหนังบริเวณส้นเท้าก็จะสกปรกเหมือนเดิม หลายท่านอาจใช้ครีมหลังการขัดล้าง แต่ก็ยังไม่พอที่จะฟื้นฟูสภาพผิวได้ และครีมอาจช่วยดูดซับความสกปรกเพิ่มขึ้นอีก

นอกจากพันธุกรรมแล้ว ยังพบปัจจัยอื่นช่วยเสริมปัญหาผิวแห้งเช่น การทำงานในห้องปรับอากาศผิวจะแห้งเพราะความชื้นในห้องปรับอากาศจะต่ำกว่าภายนอก หรือการทำความสะอาดผิวด้วยน้ำอุ่นและสบู่เป็นเวลานานจะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวออกเกินความจำเป็น การแก้ไขผิวแห้งจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผิวแห้งด้วย

ข้อแนะนำรักษาผิวแห้งบริเวณส้นเท้า คือ

1.ควรใส่รองเท้าหรือถุงเท้าเพื่อปกปิดส้นเท้าไม่ให้คราบสกปรกสะสมและยังช่วยลดการสูญเสียน้ำจากผิวหนังได้

2.ทำความสะอาดแต่พอควรการใช้น้ำอุ่น การใช้สบู่และการแช่น้ำนานๆ จะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น

3.เมื่อทำความสะอาดโดยการขัดหรือแปรงผิวควรทาครีมหรือขี้ผึ้งเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้งและควรสวมใส่รองเท้าปิดส้นจนกว่าผิวจะปกติ

4.ถ้าเป็นร่องลึกเจ็บอาจปิดร่องด้วยกาวตราช้างเพื่อทุเลาอาการเจ็บ กาวจะหลุดออกเองภายหลัง

5.ใช้ยาทาผิวส้นเท้ารักษาผิวแห้ง ลักษณะของยามี 2 แบบ คือ

- ขี้ผึ้งกรดซาลิซิลิค เนื้อยาจะผสมในวาสลินในความเข้มข้นร้อยละ 5-40 โดยกรดซาลิซิลิคช่วยลอกผิว ส่วนวาสลินจะเคลือบผิวให้อ่อนนุ่ม ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวและช่วยเร่งการซ่อมแซมของผิวหนัง แต่ขี้ผึ้งเหนียวเหนอะหนะเปรอะเปื้อนหลายท่านจึงไม่นิยมใช้ ประสิทธิภาพขี้ผึ้งจะดีกว่าครีม จึงแนะนำให้ใช้ทาขี้ผึ้งก่อนนอนพร้อมสวมใส่ถุงเท้า

- ครีมผิวแห้งผสมสารเพิ่มความชุ่มชื้น ครีมจะประกอบด้วยน้ำมันและไขหลายชนิดผสมในน้ำโดยใช้สารลดแรงประจุช่วยให้เกิดเนื้อครีมและจะใส่สารเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น น้ำมันสกัดต่าง ลาโนลิน กรีเซอริน กรดผลไม้ ยูเรีย โปรตีน ฯลฯ ครีมเมื่อทาเนื้อครีมจะแห้งซึมหายไปจึงเป็นที่นิยมใช้ แต่ถ้าผิวแห้งมากก็ไม่ได้ผล ในปัจจุบันมีการพัฒนาครีมซิลิโคน ซึ่งจะช่วยเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ไม่เหนียวเมื่อทาจะซึมหายในชั้นผิวหนังและเคลือบผิวได้ดีกว่าครีมธรรมดา แต่ราคาจะแพงกว่าขี้ผึ้งกรดซาลิซิลิค

การรักษาส้นเท้าแตกควรหลีกเลี่ยงปัจจัยส่งเสริมให้ผิวแห้ง โดยป้องกันการระเหยของน้ำควรใส่รองเท้าหุ้มส้นจนกว่าสภาพผิวคืนกลับปกติ ควรทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้งที่ทำความสะอาดเท้า และไม่ควรใส่รองเท้าเปิดส้นตลอด ถ้าส้นเท้าเริ่มมีรอยแห้งแตกก็ควรเปลี่ยนกลับมาใส่รองเท้าหุ้มส้นชั่วคราวก่อน และเมื่ออยู่ในบ้านการใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าหุ้มส้นตลอดเวลาปัญหาส้นเท้าแตกก็จะทุเลา ผู้มีปัญหาส้นเท้าแตกคงมีความมั่นใจในตัวเอง และมีความสุขเพิ่มขึ้นเมื่อได้ใส่รองเท้าตามความนิยมในบางโอกาส แต่ถ้าทำใจได้ว่าส้นเท้าแตกเป็นเรื่องธรรมดาก็คงหมดปัญหาเรื่องเท้ามีไว้เดิน ไม่ใช่ไว้ดูให้ทุกข์ใจ.

ขอบคุณ เดลินิวส์





เหงื่อบอกโรค/ สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ



เหงื่อบอกโรค

เหงื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรคบางชนิดได้

ในนิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับ .. ..เมทินี ไชยชนะ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โรงพยาบาลฝาง .เชียงใหม่ อธิบายว่า โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ

1.โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก

- เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น

- ต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือ คอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย

- วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วตัวในเวลากลางคืน สลับกับเป็นไข้ ไอเรื้อรัง

- เบาหวาน เหงื่อซึมทั่วตัว โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

- โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง

- ภาวะใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากสมองหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง "โพรเจสเทอโรน" น้อยลง เหงื่อจะออกมากในเวลากลางคืน

2.โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย

ผู้ที่เหงื่อออกน้อยผิดปกติ เนื่องจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่อง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความร้อนในร่างกายสูง อาจก่อให้เกิดโรคตามมาดังนี้

- โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด

- ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากร่างกายได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน

คุณหมอเมทินี เสริมว่า โรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเหงื่อใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องมีปัจจัยอื่นร่วมอีกหลายอย่าง แต่มีทางป้องกันได้ ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเหงื่อของร่างกาย และเลือกสถานที่อยู่ให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือแห้งเกินไป จะช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่องได้

ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด




อดตาหลับ ขับตานอน/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ


อดตาหลับ ขับตานอน

โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของเราถูกจัดระบบให้นอนหลับเวลากลางคืน และตื่นกลางวัน แต่หากวันไหนที่เราจำเป็นต้องอดนอน จะทำอย่างไรจึงจะสดใส ไม่หมดแรงเอาดื้อ วันนี้สามัญประจำบ้านมีมาบอก

จากการวิจัยพบว่า การนอนหลับประมาณ 8 ชม.เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนอนที่ดี และเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทำกิจกรรม ส่วนกลางคืนซีโรโตนินจะลดระดับลงเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน รวมทั้งต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโตนิน ออกมาเพื่อให้ร่างกายง่วงนอน จนกระทั่งใกล้เช้า ก็จะลดลงทำให้เราตื่นมาพอดี หากว่าเราอดนอนถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้เจ็บป่วยได้

เวลาเราอดนอน จะสังเกตได้ว่าบางครั้งจะมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดและเวียนศีรษะ ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก ความดันสูง ซึมเศร้า ท้อแท้ และถ้าหากอดนอนสะสมมาก อาจร้ายแรงถึงขั้นระบบประสาททำงานผิดปกติ จนเกิดอาการประสาทหลอนได้

ดังนั้น หากแหงนมองนาฬิกาเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ยังไม่ได้นอน ไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟ เพราะจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ และไม่ควรดื่มนมวัว เพราะมีไขมันสูง ใช้เวลาในการย่อย 3-4 ชั่วโมง จะเป็นการรบกวนกระเพาะอาหาร ควรรับประทานอาหารอุ่น ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวเหนียว หรือกล้วยนำไปอุ่นให้ร้อน

ขณะเดียวกัน หากตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียจากการนอนดึก แนะนำให้อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นจัด ประมาณ 3 นาทีและอาบน้ำเย็นอีก 2 นาทีสลับไปมา 3 รอบ จะทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าการดื่มกาแฟหรือชาร้อนในตอนเช้าเสียอีก นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย อาทิ ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้สด

เพียงแค่นี้ ก็สามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการนอนดึกได้แล้ว แต่ทางที่ดีแนะนำว่าอย่านอนดึกจนติดเป็นนิสัยจะดีกว่า เพราะร่างกายของเราไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยนบ่อย เหมือนเครื่องจักรนะจ้ะ

ใครที่อยากมีผิวพรรณสวยๆ ลองกินอาหารพรรณสวยๆ ลองหาเมนูอาหารตามนี้ดูนะคะ



ใครที่อยากมีผิวพรรณสวยๆ ลองกินอาหารพรรณสวยๆ ลองหาเมนูอาหารตามนี้ดูนะคะ

เนื้อปลา เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหาร ที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซม เซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้าน อนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชรา และความเสื่อมของร่างกาย

น้ำมันมะกอก ในน้ำมันมะกอก ประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกัน การเสื่อมของเซลล์ ทำให้ผิวดูอ่อนวัย คงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

เมล็ดข้าวและธัญพืช มีงานวิจัยระบุว่าวิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้อง ความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว

ผลไม้และผักสด ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซี ซึ่งมีส่วนสำคัญ ต่อการสร้างเส้นใย คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณ ของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น

น้ำเปล่า น้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับ ทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกาย ได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ6-8 แก้วโต เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง

อย่าลืมนะคะ เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

แถมยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณอีกด้วยค่ะ





3 ท่า เช็คอาการกระดูกทับเส้นประสาท/สุขภาพหน้ารู้ ง่ายๆของคุณ


3 ท่า เช็คอาการกระดูกทับเส้นประสาท

กระดูกทับเส้นประสาทนั้น มักมีอาการปวดร้าวตามเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

รู้สึกปวดหลัง ขา หรือแขน แตกต่างกันไปในแต่ละราย ขึ้นอยู่กับว่ากระดูก

ทับเส้นประสาทเส้นไหน

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ รักษาด้วยการนอนพัก กินยา กายภาพบำบัด

ผู้ป่วยส่วนน้อย รักษาด้วยการผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทออกไป

หากได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ สามารถหายกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

เมื่อไม่แน่ใจว่าเป็นกระดูกทับเส้นประสาทหรือไม่ วิธีเช็คอาการเบื้องต้น มีดังนี้

1. นอนหงาย

2. ยกขาข้างหนึ่งขึ้น โดยให้หัวเข่าเหยียดตรง ทำมุมตั้งฉากกับพื้น ถ้ามีอาการ

กระดูกทับเส้นประสาทจะรู้สึกปวดตึงขา

3. เมื่อกระดกปลายเท้ามาด้านหน้าจะรู้สึกปวดมากขึ้น

นอกจากนี้ อาจมีอาการปวดชาตามขาข้างใดข้างหนึ่ง และมีอาการขาอ่อนแรงร่วมด้วย

ถ้าสังเกตพบความผิดปกติเบื้องต้น ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

ที่มา นิตยสารชีวจิต ปีที่ 11


วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

5 วิธีชวนลูกฝึกสมองให้มี สติ/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ


5 วิธีชวนลูกฝึกสมองให้มี สติ

ช่วงหยุดปิดเทอมของคุณลูก จะให้ลูกอยู่บ้านเฉยๆ ก็กระไรอยู่ วันนี้เลยขอนำเสนอ กิจกรรมดีๆ เพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และยังช่วยสร้างสมาธิของเจ้าหนูจอมซ่า จอมเฮี้ยวทั้งหลายอีกด้วยค่ะ

ชวนลูกเข้าวัด

ลองเปลี่ยนบรรยากาศจากการพาลูกเดินเล่นที่ยวห้างฯ มาเป็นการเข้าวัด ชมบรรยากาศที่สงบ ร่มเย็น ทำกิจกรรมทางศาสนา เช่น ตักบาตร ทำบุญ หรือฟังธรรม ที่จะช่วยให้ลูกๆ ซึมซับเรื่องธรรมะ ขัดเกลาเรื่องของจิตใจ ให้เด็กๆ มีความสงบ ระลึกรู้อยู่เสมอในเรื่องผิด ชอบ ชั่ว ดี ด้วยการมีสติครองตัวอยู่ตลอดเวลา

ชวนลูกเย็บ ปัก ถัก ร้อย

ชวนลูกๆ มาสร้างงานฝีมือ เพราะว่างานประดิดประดอย จากงานปักงานร้อยนั้น นอกจากลูกจะได้ทำของใช้ที่เป็นประโยชน์ให้คุณแม่แล้ว เรื่องสมาธิก็เป็นผลพลอยได้ทางอ้อม ด้วยเหมือนกัน

นอกจากให้ลูกได้ทำของใช้แล้ว ก็อธิบายด้วยว่า ไม่ว่าลูกจะทำอะไรก็ตาม ลูกต้องมีสมาธิ ใช้ความตั้งใจ ใช้ความมุ่งมั่นอยู่กับการทำงานนั้นๆ เพราะเปรียบได้กับการที่ลูกค่อยๆ ปักไหมพรมลงช่องในแต่ละตาราง ค่อยๆ ร้อยลูกปัดแต่ละเม็ดนั่นเอง แต่ในทางกลับกันถ้าลูกขาดสมาธิหรือไม่ตั้งใจ ไม่พยายามที่จะทำให้เสร็จ ลูกก็มีโอกาสที่จะเจอเข็มร้อยแทงนิ้วได้ง่ายๆ

ชวนลูกต่อจิ๊กซอว์

เกมสร้างสรรค์น่าสนุกอย่างการต่อจิ๊กซอว์ ก็สามารถ ออกกำลังกายให้สมองได้พัฒนากระบวนการคิดอย่างเป็นขั้ นเป็นตอน ด้วยการจดจ่ออยู่กับการต่อภาพ พร้อมกับการสังเกต จับจุดที่สำคัญของภาพ

เกมนี้จะสนุก น่าสนใจมากขึ้นเมื่อคุณพ่อคุณแม่ให้ลูกเลือกภาพเอง และอย่าลืมคอยให้คำชมเพื่อเป็นกำลังใจและรางวัลที่ดี ให้ลูก เมื่อลูกต่อภาพเสร็จ

ชวนลูกอ่าน

การอ่านก็เป็นการฝึกสมาธิที่ได้ผลอย่างหนึ่ง เพราะการรวบรวมความสนใจให้เพ่งไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่ชวนลูกๆ หาหนังสือเล่มโปรดที่ลูกสนใจ เนื้อหาภายในเล่มให้เหมาะสมกับวัย เป็นประโยชน์เพิ่มพูนความรู้รอบตัวก็ได้ เพราะว่าการอ่านไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่ประโยชน์นานัปการค่ะ

ชวนลูกเล่นดนตรี

นอกจากดนตรีจะช่วยผ่อนคลาย สร้างความสุนทรีทางด้านอารมณ์ของเด็กแล้ว คลื่นเสียงจากการเล่นดนตรีต่างๆ ช่วยทำให้คลื่นสมองมีการพัฒนาไปในทางที่ดี เซลล์ประสาททำงานดีขึ้น ที่สำคัญดนตรีช่วยสร้างสมาธิทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ ดี รู้แบบนี้แล้วชวนลูกมาร้อง รำ ทำเพลง เล่นดนตรีกันเถอะค่ะ




ผิวสวยด้วยน้ำ/สุขภาพน่ารู้ ง่ายๆของคุณ



ผิวสวยด้วยน้ำ

ดื่มน้ำเฉพาะตอนที่คอแห้ง เพื่อดับกระหาย หรือดื่มระหว่างทานอาหารเท่านั้น คงยังไม่เพียงพอ!! ถ้าอยากผิวสวยและสุขภาพดี แบบไม่ต้องลงทุนซื้อครีมบำรุงกระปุกละเป็นหมื่น ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดื่มน้ำกันใหม่ ด้วย 7 เทคนิคการดื่มน้ำสไตล์เอเวียงจากฝรั่งเศส

1) เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำ ลองดื่มน้ำแร่ธรรมชาติให้ได้วันละ 2 ลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำบริสุทธิ์ในปริมาณที่ต้องการ และคุณจะสังเกตเห็นความแตกต่าง น้ำไม่เพียงจะช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง แต่ยังควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสม, ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร รวมทั้งขับของเสียไปตามกระแสเลือด

2) วางน้ำดื่มไว้ข้างเตียงก่อนเข้านอน ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึก จะได้เทน้ำดื่มสักแก้ว เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย และช่วยให้สามารถนอนหลับต่อได้อย่างง่ายดาย

3) พกพาน้ำดื่มติดตัวไปทุกที่ ทั้งในรถ, ระหว่างการเดินทาง, เวลานั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือตอนดู ทีวี การดื่มน้ำให้ติดเป็นนิสัยจะทำให้สุขภาพดี

4) ดื่มน้ำจากขวดให้ได้บ่อยที่สุด เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำของคุณ เพราะทำให้ดื่มง่ายและสะดวกต่อการพกพา

5) ดื่มน้ำให้สม่ำเสมอเมื่อเล่นกีฬา โดยดื่มน้ำก่อนและระหว่างการออกกำลังกาย นอกจากนี้ ยังควรดื่มน้ำหลังจากเล่นกีฬาในปริมาณที่มากพอ เพื่อชดเชยการเสียเหงื่อของร่างกาย

6) ไดเอตด้วยน้ำ ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารกลางวัน จะช่วยลดอาการหิว และควบคุมปริมาณการทานอาหาร

7) ดื่มน้ำหลังอาหารกลางวัน ช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูงประเภทอื่นๆได้.




ผื่นแพ้จากการสัมผัส (Contact Dermatitis)






ผื่นแพ้จากการสัมผัส (Contact Dermatitis)

หมายถึง อาการผื่นคันที่เกิดจากการสัมผัสถูกสิ่งกระตุ้นจากภายนอกร่างกาย ซึ่งเป็นสารระคายเคืองหรือสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย เกิดผื่นอาจเป็นผลมาจากข้อใดข้อหนึ่งดังนี้

การระรายเคืองต่อผิวหนัง เนื่องจากถูกสารระคายเคืองทำให้ผิวหนังอักเสบ เช่น กรด ด่าง สบู่ ผงซักฟอก ยางไม้ เป็นต้น

การแพ้ ผู้ป่วยต้องเคยสัมผัสถูกสารมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนแล้วร่างกายถูกกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ขึ้นมาเมื่อสัมผัสซ้ำ ทำให้เกิดอาการแพ้ การสัมผัสครั้งแรกกับครั้งหลังอาจห่างกันเป็นวัน ๆ เป็นเดือน เป็นปีก็ได้ เช่น พวกโลหะนิเกิล เงิน ยาทาเฉพาะที่ เช่น ซัลฟา ยาชา เครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม ลิปสติก เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า ถุงมือ สี ปูนซีเมนต์ สารเคมีต่าง ๆ

อาการ

จะมีลักษณะเป็นผื่นแดง หรือตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ มีอาการคันบริเวณที่สัมผัส ทำให้เห็นเป็นรอย เช่น รอยสายนาฬิกา สร้อยคอ ฯลฯ บางรายอาจเป็นตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ ซึ่งต่อกันเป็นตุ่มพองใหญ่ เมื่อแตกออกจะมีน้ำเหลืองไหล และมีสะเก็ดเล็ก ๆ เกรอะกรัง เมื่ออาการทุเลาผิวหนังอาจแห้งเป็นขุย หรือหนาตัวขึ้นชั่วคราว บางรายผิวหนังอาจคล้ำลงหรือเป็นรอยด่างขาวชั่วคราว
อาการแทรกซ้อน
อาจเกาจนมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น เป็นตุ่มหนอง แผลพุพอง หรือน้ำเหลืองไหล

การรักษา

หาสาเหตุที่แพ้แล้วหลีกเลี่ยงโดยสังเกตจาก

ตำแหน่งที่เป็น เช่น ที่ศีรษะอาจแพ้ยาย้อมผมแชมพูสระผม ที่ใบหูอาจแพ้ตุ้มหู หน้าอาจแพ้เครื่องสำอาง

อาชีพและงานอดิเรก เช่น คนขับรถแพ้เบนซิน น้ำมันเครื่อง แม่บ้านแพ้ผงซักฟอง

รักษาผื่นแพ้โดย

ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ แล้วเช็ดให้แห้ง

ทาด้วยครีมสเตรอยด์ ถ้าเป็นมากให้ทายาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนนิรามีน

ถ้ามีหนอง หรือน้ำเกลือ ให้ทานยาปฏิชีวนะ

ในรายที่รุนแรง ควรส่งโรงพยาบาล

ข้อแนะนำ

โรคนี้ขึ้นอยู่กับการค้นหาสาเหตุของการแพ้ ส่วนใหญ่มักจะซักประวัติ หรือการทดสอบทางผิวหนัง ถ้าหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ได้มากจะหายใน 2-3 สัปดาห์ หรือ 2-3 เดือน

โรคผื่นแพ้จากการสัมผัส Contact dermatitis

การแพ้ชนิดนี้เป็นแบบ T-cell mediated reactionโดยเฉลี่ยผู้ใหญ่จะใช้สารเคมีกับร่างกายอย่างน้อย 7 ชนิดได้แก่ น้ำหอม moisturizers, ครีมกันแสง, สบู่, ครีมนวดผมหรือแชมพูสระผม
ครีมดับกลิ่น, และเครื่องสำอาง ที่พบบ่อยที่สุดคือแพ้น้ำหอมผู้ที่แพ้น้ำหอมควรใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีน้ำหอม ตำแหน่งที่แพ้บ่อยที่สุดคือ หน้า ริมฝีปาก ตา หู การแพ้จากการสัมผัสมีสองชนิดคือ

Irritant dermatitis เกิดจากการระคายเช่นการใช้น้ำหอม สบู่ ผงซักฟอก ครีมดับกลิ่น เครื่องสำอาง พวกนี้จะเกิดผื่นหลังจากสัมผัสไม่นานเช่นภายใน 1-2 วันหลังสัมผัส

Allergic contact dermatitis การแพ้เกิดจากการสัมผัสมักจะเกิดหลังจากสัมผัสเป็นระยะเวลามากกว่า 1 สัปดาห์ลักษณะจะเป็นผื่นแดง บวม คัน และอาจจะมีถุงน้ำ เช่นการแพ้สายรองเท้า สายนาฬิกา

การรักษา

ต้องหลีกเลี่ยงสารที่ก่อภูมิแพ้อย่างน้อย 4 สัปดาห์เพื่อให้ภูมิลดลง และเพื่อให้ผื่นหาย การป้องกันผื่นแพ้จากการสัมผัสสามารถทำได้โดย

ให้ล้างเสื้อด้วยน้ำสะอาด 2 ครั้งหลังจากซักด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม

ให้เลือกซื้อเสื้อผ้าที่เป็นสีธรรมชาติ หลีกเลี่ยงผ้าที่อัดกลีบ อาจจะใช้ผ้าไหมและผ้า polyester

เสื้อผ้าใหม่ให้ซัก 5 ครั้งก่อนใส่

สบู่ แชมพูและครีมนวดผมไม่ควรมีน้ำหอม

หลีกเลี่ยงน้ำหอม โคโลน หลังโกนหนวด

ไม่ใช้น้ำยาทาเล็บหรือ hair spray

คำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นผื่นอักเสบที่มือ
ขณะที่ผิวหนังมีการอักเสบ ความแข็งแรง, ความสามารถในการเป็นเกราะกำบังร่างกายของชั้นผิวหนังจะเสียไป ทำให้เกิดอาการระคายเคือง, อักเสบและแพ้ได้ง่ายกว่าปกติ ดังนั้นเพื่อช่วยให้ผิวหนังกลับสู่สภาพปกติ จึงควรทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

ถ้าทราบว่าแพ้สารใดสารหนึ่งโดยเฉพาะ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารนั้น
การล้างมือ

ไม่ควรล้างมือด้วยน้ำอุ่น, น้ำร้อน

ใช้สบู่เพียงเล็กน้อย

หลังการล้างมือควรใช้ผ้าสะอาดซับให้แห้งโดยไม่ลืมซับบริเวณซอกนิ้ว มือให้แห้งด้วย

ไม่ควรล้างมือบ่อยเกินไปคือไม่ควรเกิน 2-3 ครั้งต่อวัน

เลือกใช้สบู่อ่อนที่ปลอดน้ำหอม หรือน้ำยาทำความสะอาดมือที่ปลอดสี,ยาฆ่าเชื้อ, ยาดับกลิ่น, วิตามิน

ไม่ใช้แอลกอฮอล์ หรือผงซักฟอก, น้ำยาทำความสะอาด ล้างมือ

ควรถอดแหวนออกขณะทำงานบ้าน, ล้างมือ เพราะอาจมีสบู่คั่งค้างอยู่บริเวณใต้แหวนทำให้ผื่นอักเสบที่มือกำเริบได้

ใช้ครีมทามือบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้มือแห้ง โดยเลือกครีมที่ปลอดน้ำหอม, ไม่มีส่วนประกอบของสารที่ท่านแพ้ผสมอยู่

พยายามเลี่ยงงานบ้าน, งานอดิเรกที่ต้องสัมผัสกับพวกสารตัวทำละลาย (solvent), กาว, ขี้ผึ้ง (wax), epoxy resin

ถุงมือ

เลือกใช้ถุงมือพลาสติก (vinyl) หรือถุงมือพีวีซี (PVC) จะดีกว่าถุงมือ ยางลาเท็กซ์ (ถุงมือแพทย์) ซึ่งอาจก่อให้เกิดการแพ้ยางได้

ไม่ควรใส่ถุงมือนานกว่า 15-30 นาทีต่อครั้ง เพราะจะก่อให้เกิดความอับชื้น, ระคายได้

ถ้ามีเหงื่อออกมากให้ใส่ถุงมือผ้าขาวไว้ข้างในถุงมืออีก 1 ชั้นเพื่อดูดซับเหงื่อ
ถ้าทำงานแห้งๆที่มีฝุ่น, สกปรก เลือกใส่ถุงมือผ้าสีขาวเพื่อป้องกันไม่ให้มือสกปรก จะทำให้ไม่ต้องล้างมือบ่อย

หลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งของเหล่านี้ด้วยมือเปล่า

อาหาร : น้ำผลไม้, เปลือกผลไม้โดยเฉพาะตระกูลส้ม มะนาว ส้มโอ , เนื้อสัตว์, เนื้อปลา ,ผักโดยเฉพาะหัวหอมใหญ่,กระเทียม

น้ำยาทำความสะอาด ผงซักฟอก น้ำยาขัดเงา น้ำมันก๊าด ทินเนอร์

น้ำมันใส่ผม, โลชั่นใส่ผม, ยาย้อมผม ให้ใช้ไม้พันสำลี, แปรงทา
ยาสระผม ใส่ถุงมือสระ

งานบ้าน ให้ใช้แปรงด้ามยาวในการล้างจาน,ทำความสะอาดถ้าเป็นไปได้ ควรใช้เครื่องซักผ้า, เครื่องล้างจาน

คำแนะนำสำหรับผู้ที่แพ้รองเท้า

ถ้าสงสัยว่าผื่นที่เท้าเกิดจากการแพ้รองเท้า ควรเลือกใส่รองเท้าที่ทำให้แพ้ได้ น้อยที่สุดคือ รองเท้าที่ทำจากไม้หรือพลาสติก เช่น โพลีไวนิลคลอไรด์, โพลียูรีเทน

ถ้ามีอาการน้ำเหลืองแฉะ, เยิ้ม ควรประคบด้วยน้ำเกลือครั้งละ 10-15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง และทายา ตามที่แพทย์สั่ง

พยายามลดการเสียดสีจากรองเท้า เช่น ใช้สารทาช่วยหล่อลื่น, ใส่รองเท้าที่ไม่คับเกินไป สวมใส่ถุงเท้า,ถุงน่อง

ภาวะเหงื่อออกมากที่เท้าจะทำให้เกิดการแพ้รองเท้าได้มากขึ้น ควรใช้ยาทาช่วยลดเหงื่อ เช่น 20% Aluminium chloride, Drysol หรือแป้งโรยในถุงเท้า เช่น Zeasorb

ท่านที่แพ้ยาง : เลือกใส่รองเท้าที่ทำจากหนัง เช่น รองเท้าหนัง moccasin ที่ไม่มีแผ่นรองด้านใน, ส้นข้างนอก หรือใช้รองเท้าพลาสติก, ไม้

ท่านที่แพ้หนัง : ใช้รองเท้าทำจากพลาสติก, ผ้า, ไม้ ควรดึงแผ่นรองด้านในที่เป็นหนังออก

ท่านที่แพ้ PTBR-FR (กาวนีโอพรีน) :พยายามเลือกรองเท้าที่ไม่ใช้กาว เช่น เย็บด้วยมือ หรือใช้กาวยูรีเทนแทน

หลายคนสงสัยในอาการผื่นแพ้ค่ะว่าคืออะไรอาการผื่นแพ้หมายถึง อาการผื่นคันที่เกิดจากการสัมผัสถูกสิ่งกระตุ้นจากภายนอกร่างกาย ซึ่งเป็นสารระคายเคืองหรือสารที่ทําให้เกิดการแพ้ได้ง่าย การเกิดผื่นอาจเป็นผลมาจากข้อใดข้อหนึ่งดังนี้ค่ะ

- การระคายเคืองต่อผิวหนัง เนื่องจากถูกสารระคายเคือง ทําให้ผิวหนังอักเสบเช่น กรด ด่าง สบู่ ผงซักฟอก ยางไม้ เป็นต้น

- การแพ้ ผู้ป่วยต้องเคยสัมผัสถูกสาร มาครั้งหนึ่งก่อนแล้วร่างกายถูกกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกัน (แอนตี้บอดี้) ขึ้นมาเมื่อสัมผัสซ้ำ ทําให้เกิดอาการแพ้ การสัมผัสครั้งแรกกับครั้งหลังอาจห่างกันเป็นวันๆ เป็นเดือน เป็นปีก็ได้ เช่น พวกโลหะนิเกิล, เงิน, ยาทาเฉพาะที่ เช่น ซัลฟา, ยาชา, เครื่องสําอาง เช่น น้ำหอม ลิปสติก, เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า ถุงมือ, สี, ปูนซีเมนต์, สารเคมีต่างๆ

สําหรับอาการ ผื่นแพ้

นั้น จะมีลักษณะเป็นผื่นแดง หรือตุ่มน้ำใสๆ เล็กๆ มีอาการคันมากบริเวณที่สัมผัส ทําให้เห็นเป็นรอย เช่น รอยสายนาฬิกา สร้อยคอ ฯลฯ

บางรายอาจเป็นตุ่มน้ำใสเล็กๆ ซึ่งต่อกันจนเป็นตุ่มพองใหญ่ เมื่อแตกออกจะมีน้ำเหลืองไหลและมีสะเก็ดเล็กๆ เกรอะกรัง เมื่ออาการทุเลาผิวหนังอาจแห้งเป็นขุยหรือหนาตัวขึ้นชั่วคราว บางรายผิวหนังอาจคล้ำลงหรือเป็นรอยด่างชั่วคราวค่ะ

สําหรับวิธีการการรักษานั้น พอจะจําแนกได้ดังนี้ค่ะ

- หาสาเหตุที่แพ้แล้วหลีกเลี่ยงโดยสังเกตจาก

- ตําแหน่งที่เป็น เช่น ที่ศีรษะอาจแพ้ยาย้อมผม แชมพูสระผม หน้าอาจแพ้เครื่องสําอาง

- อาชีพและงานอดิเรก เช่น คนขับรถแพ้เบนซิน, น้ำมันเครื่อง, แม่บ้านแพ้ผงซักฟอก

รักษาผื่นแพ้โดย

- ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ แล้วเช็ดให้แห้ง

- ทาด้วยครีมสเตอรอยด์ ถ้าเป็นมากให้ทานยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนนิรามีน

- ถ้ามีหนอง หรือน้ำเหลือง ให้ทานยาปฏิชีวนะ

- ในรายที่รุนแรง ควรส่งโรงพยาบาล

โรคนี้ขึ้นอยู่กับการค้นหาสาเหตุของการแพ้ค่ะ ส่วนใหญ่มักจะซักประวัติ หรือการทดสอบทางผิวหนัง ถ้าหลีกเลี่ยง สิ่งที่แพ้ได้มักจะหายใน 2-3 สัปดาห์ หรือ 2-3 เดือน


















สินค้ารวม